Kaleidoscope ซีรีส์ปล้นเรื่องใหม่จาก Netflix ที่จะชวนคุณมาสนุกกับการลำดับเรื่องราวหลากสีสันและเพลิดเพลินเส้นเรื่องในแบบของคุณเอง
เปิดศักราชใหม่ทั้งที สตรีมมิ่งอย่าง Netflix จะเริ่มต้นปีแบบธรรมดาก็กะไรอยู่ ผลงานลิมิเต็ดซีรีส์เรื่องใหม่อย่าง Kaleidoscope ผลงานการสร้างเรื่องใหม่ของเอริก การ์เซีย (Eric Garcia) จึงมาพร้อมกับลูกเล่นในการรับชมที่ชวนให้ผู้ชมทั่วโลกสนุกสนานไปกับการลำดับเรื่องราวที่แตกต่างกัน ราวกับภาพสะท้อนหลากสีสันในกล้องคาไลโดสโคป สมชื่อเรื่อง
คาไลโดสโคป (Kaleidoscope) เป็นซีรีส์แนวระทึกขวัญ-อาชญากรรมที่หยิบแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงในเหตุการณ์การโจรกรรมปริศนาเมื่อปีค.ศ. 2012 ที่รัฐเท็กซัส หลังเหตุการณ์พายุเฮอริเคนแซนดี้ ทำให้ฝนตกหนักและท่วมห้องนิรภัยใต้ดิน จนทำให้พันธบัตรมูลค่ากว่า 70,000 ล้านดอลล่าร์เสียหาย และเกิดข่าวลือว่าแท้จริงพันธบัตรเหล่านั้นไม่ได้ถูกน้ำท่วมพัดทำลาย แต่อาจจะถูกโจรกรรมไปหมด
ในซีรีส์ชุดคาไลโดสโคปจะพาผู้ชมไปตามติดแก๊งปล้นที่รวมเหล่าอาชญากรระดับหัวกะทิ กับแผนปล้นสุดบ้าบิ่นในการเจาะเข้าห้องนิรภัยที่มีระบบรักษาความปลอดภัยสุดหิน โดยอาศัยช่วงพายุเฮอริเคนในการก่ออาชญากรรมครั้งใหญ่ ท้าทายทีมรักษาความปลอดภัยและ FBI ที่จ้องจะเล่นงานพวกเขาอยู่
แต่ความน่าสนใจของซีรีส์ชุดนี้ไม่ได้มีเพียงเนื้อหาที่เข้มข้นเกี่ยวกับแผนการปล้นซึ่งอ้างอิงมาจากเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นจริงเท่านั้น เพราะความสนุกสำคัญของซีรีส์ชุดนี้คือการที่เรื่องราวทั้ง 8 ตอนซึ่งถูกตั้งชื่อเป็นเฉดสีต่างๆ ประกอบด้วย สีม่วง สีฟ้า สีเขียว สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีชมพู จะถูกสับเปลี่ยนและไม่มีลำดับที่ชัดเจน โดยจะสุ่มการเรียงลำดับเรื่องราวของผู้ใช้งาน Netflix แต่ละบัญชีแตกต่างกัน เช่นบัญชีของเราอาจจะเริ่มด้วยสีชมพู ต่อด้วยเขียว ม่วง ส้ม และฟ้าสลับไปจนครบ แต่บัญชีของเพื่อนอาจเริ่มต้นด้วยสีฟ้า ส้ม แดง เหลือง แล้ววนสลับกลับมาที่สีชมพู
ความสนุกนี้ทำผู้ใช้งาน Netflix ได้ชมเรื่องราวทั้ง 7ช่วงเวลาโดยมีการเรียงลำดับเวลาที่แตกต่างกันตั้งแต่ 24 ปีก่อนการวางแผนปล้น 7 ปีก่อนการวางปล้น 7 สัปดาห์ก่อนการปล้น 3 สัปดาห์ก่อนการปล้น 5 วันก่อนการปล้น เช้าหลังการปล้น และช่วงเวลา 6 เดือนหลังจากการปล้น โดยผู้ใช้งานทุกคนจะมีตอนจบตอนเดียวกันคือสีขาว ซึ่งเป็นวันแห่งการปล้นนั่นเอง
แม้การเรียงลำดับเส้นเรื่องที่ถูกสับเปลี่ยนไปตามแต่บัญชีผู้ใช้งานจะไม่ใช่เทคนิคหรือวิธีการเล่าเรื่องที่ล้ำสมัยอะไร แต่ความสนุกของการนำเสนอนี้ คือการที่ผู้ชมจะค่อยๆ เก็บข้อมูลของแต่ละตัวละครในแต่ช่วงเวลา โดยเริ่มจากเวลาใดก็ได้ และนำเฉดสีต่างๆ ที่ตนเองได้ชมมาปะติดปะต่อกันเป็นภาพใหญ่ ก่อนที่ซีรีส์จะพาผู้ชมไปสู่บทสรุปในตอนจบเดียวกัน ราวกับกำลังส่อกล้องคาไลโดสโคปหรือกล้องสลับลาย ที่จะสะท้อนภาพและสีสันที่หลากหลายในทุกๆ ครั้งที่วัสดุหลากสีสันในกล้องเคลื่อนไหวและสลับตำแหน่ง และยังพาผู้ชมไปพบกับบทสรุปในตอนจบว่าเหตุใดซีรีส์ชุดนี้ถึงเลือกการนำเสนอในรูปแบบนี้
ซึ่งแน่นอนว่าลำดับที่แตกต่างกันจะมอบประสบการณ์การรับชมที่แตกต่าง รวมไปถึงให้มุมมองอันแตกต่างที่ผู้ชมแต่ละคนมีต่อเรื่องราว ตัวละคร ไปจนถึงการตัดสินใจต่างๆ ของตัวละครแต่ละตัวในสถานการณ์ต่างๆ โดยได้นักแสดงมากฝีมือมาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราวหลากสีสันในซีรีส์ชุดนี้
อาทิ เรื่องในเฉดสีแดงของจานคาร์โล เอสโปซิโต (Giancarlo Esposito) จาก The Mandalorian และ Breaking Bad ในบทบาทมหาโจรลีโอ (Leo Pap) หัวหน้ากลุ่มผู้บงการการปล้น เขาคืออัจริยะผู้รอบรู้ ผู้คอยให้คำปรึกษาที่ละเอียดรอบคอบและหลักแหลม จากประสบการณ์การปล้นที่สั่งสมมาตั้งแต่สมัยที่เขายังหนุ่ม แต่เหตุผลที่เขาเลือกจะทำการปล้นไม่ได้เป็นเพราะเรื่องเงิน แต่มาจากเรื่องในใจที่ผู้ชมต้องร่วมไขคำตอบไปพร้อมกัน
โดยมีเพื่อนร่วมทีมปล้นอย่างนักแสดงสาวปาซ เวก้า (Paz Vega) จาก Rambo5: Last Blood ในบทบาทเอวา เมอร์เซอร์ (Ava Mercer) ทนายความสาวผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธ ร่วมด้วยจาย คอร์ทนีย์ (Jai Courtney) จาก The Suicide Squad นักแสดงสาวชาวอียิปต์โรซาลีน เอลเบย์ (Rosaline Elbay) ปีเตอร์ มาร์ค เคนดอล (Peter Mark Kendall) จาก Top Gun: Maverick และจอร์แดน เมนโดซา (Jordan Mendoza)
แม้การนำเสนอของคาไลโดสโคปจะเป็นความทะเยอทะยานและแปลกใหม่อีกครั้งของ Netflix แต่ผู้ชมก็ยังคงจับตามองและคาดหวังกับผลงานใหม่ๆ หลังจากที่หุ้นของบริษัทยังร่วงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการมีจำนวนผู้ใช้งานลดลงกว่า 200,000 บัญชีในช่วงปีที่ผ่านมาทั้งจากการแพร่ระบาดของ Covid-19 และการระงับให้บริการในรัสเซีย ทำให้สูญเสียสมาชิกไปถึง 700,000 ราย จนทำให้มีรายงานข่าวว่า Netflix กำลังจะมีนโยบายยุติการให้บริการแบบแชร์รหัสผ่านกันใช้ภายในครอบครัวในช่วงต้นปีค.ศ. 2023 ซึ่งจะเริ่มที่ผู้ใช้งานในแถบอเมริกาก่อน โดยผู้ชมที่ต้องการแชร์รหัสผ่านจะต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก
ข่าวนี้ก็ทำให้ผู้ใช้บริการทั่วโลกรวมถึงชาวไทยไม่น้อยออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก และมีแนวโน้มที่จะโกรธเคืองจนเลิกใช้บริการ เพราะปัจจุบัน Netflix ก็นับเป็นสตรีมมิ่งที่มีค่าบริการต่อเดือนที่สูงอยู่แล้วเมื่อเทียบกันกับผู้ให้บริการสตรีมมิ่งเจ้าอื่นๆ จนอาจทำให้ผู้ชมเปลี่ยนไปใช้บริการสตรีมมิ่งอื่นแทน
ซึ่งสถานการณ์นี้ดูจะเป็นบททดสอบครั้งใหญ่ของ Netflix เพราะการจะผลิตและนำเสนอผลงานออริจินัลใหม่ๆ ที่มีเฉพาะบนแพลตฟอร์มออกมาให้โดนใจผู้ชม เพื่อดึงดูดให้ผู้ชมใช้บริการต่อ ไม่ว่าจะเป็นผลงานที่ลงทุนสร้างเองหรือสร้างร่วมกับพาร์ทเนอร์ ก็ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ทุนสร้างจำนวนมหาศาลเช่นกัน
CREDIT:
PHOTOS: COURTESY OF NETFLIX
อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจอื่นๆ ได้บน Padthai.co
- Repeat After Me: ชวนไขปริศนาที่ซ่อนในมิวสิควีดีโอแนวย้อนยุคสุดคัลท์ Ditto ซิงเกิลใหม่สุดฮ็อตจากสาวๆ Newjeansที่ชวนให้นึกถึงหนังเก่าแนว J-Horror ยุค 2000s ด้วยบรรยากาศสุดหลอน แต่ซ่อนข้อความถึงเหล่าบันนี่ส์ แฟนคลับของพวกเธอ
- Pink Venom แผลงฤทธิ์! Blackpink คัมแบ็กสุดปัง ทุบสถิติ 100 ล้านวิวภายในเวลาเพียง 30 ชั่วโมง นำเสนอมิวสิควีดีโอ Pink Venom พรี-ซิงเกิ้ลสุดร้อนแรงจากอัลบัม BORN PINK และการกลับคืนบัลลังก์อีกครั้งของราชินีผู้พาวงการ K-POP ไปสู่ระดับโลก
- ลองฟัง: ได้เวลารักตัวเอง! Self love ผลงานใหม่จากเจ้าพ่อคอนเน็คชั่น กอล์ฟ F.HERO กับการรวมตัวของ 2 แรปเปอร์เกาหลี ยูนมิเร – TigerJK และ Mr.Everything ของเหล่าเพนกวิ้น บิวกิ้น พุฒิพงศ์
- รีวิวหลังดูจบแบบไม่สปอยล์ : สิ้นสุดการรอคอย AVATAR 2 : The Way of Water วิถีแห่งสายน้ำ การกลับมาของครอบครัวซัลลีและชนเผ่าเมทคายีน่าของเหล่านาวีแห่งท้องทะเล งานภาพสวยจับใจไม่เสียชื่อผู้กำกับระดับเทพ เจมส์ คาเมรอน ฟันรายได้ทั่วโลกวันแรก 553 ล้านบาท
- Black Eye เพลงป๊อปพังค์สุดเท่ ผลงานซิงเกิล Solo Mix-Tape ครั้งแรกจากเวอร์นอน ชเว แรปเปอร์หนุ่มลูกครึ่งเกาหลี-อเมริกันมากความสามารถแห่งวง Seventeen