หากเป็นแฟนตัวยงของนาฬิกา แล้ว เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับหนึ่งในภาพลักษณ์อันโดดเด่นที่สุดของแบรนด์ นั่นก็คือ เอกลักษณ์ของสี Tudor Blue ที่ไม่เหมือนใคร
Tudor Blue มีที่มานับตั้งแต่ยุค 1960s เพราะได้นำเสนอนาฬิกาหลากหลายรุ่นที่มาพร้อมกับหน้าปัดและรายละเอียดการตกแต่งโทนสีน้ำเงิน ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นทั้งสัญลักษณ์ของพลังสร้างสรรค์ และความเชื่อมโยงของแบรนด์ที่มีต่อ “ผืนน้ำ” แบรนด์ทิวดอร์เองมีชื่อเสียงโด่งดังมาจากนาฬิกาดำน้ำ เช่นเดียวกับนาฬิกาโครโนกราฟและนาฬิกาสปอร์ตอื่นๆ โดยมาพร้อมกับสีสันที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์ และนั่นเองที่ประเพณีการรังสรรค์นาฬิกาด้วยเอกลักษณ์ของสีน้ำเงินได้เริ่มต้นขึ้นและยังคงสืบทอดมาจนถึงคอลเลกชั่นนาฬิกาต่างๆ ในปัจจุบัน
จริงๆ แล้ว สีน้ำเงินไม่ได้เป็นตัวแทนถึงน้ำหรือการดำน้ำเท่านั้น เพราะสิ่งที่ทิวดอร์ได้ตีความให้กับสีน้ำเงินนี้ยังหมายรวมไปถึงสีซึ่งแสดงออกถึงการค้นพบใหม่ๆ บ่งบอกได้ถึงรสนิยม การผจญภัย และความสง่างามที่เหมาะสำหรับทุกๆ โอกาส ทั้งยังเป็นสีน้ำเงินที่เหมาะกับทั้งนาฬิกาสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีอีกด้วย
Tudor Blue Royal
มรดกของนาฬิกาทิวดอร์ บลู จึงได้รับการสืบทอดมาแล้วในนาฬิกาหลายรุ่นหลากคอลเลกชั่น นับตั้งแต่ Royal ชื่อของนาฬิกาที่แบรนด์ริเริ่มสร้างสรรค์ขึ้นในยุค 1950s ด้วยความโดดเด่นด้านคุณภาพและสไตล์อันสง่างาม และต่อมาในช่วง 1960s เอกลักษณ์ของขอบตัวเรือนแบบหยัก และพื้นผิวที่สลับกันระหว่างงานขัดเงาและร่องบากจึงได้มาบรรจบกับการใช้สีน้ำเงิน และกลายเป็นคุณลักษณะเฉพาะของคอลเลกชั่นนี้นับแต่นั้นมา โดยล่าสุด องค์ประกอบทางประวัติศาสตร์เหล่านี้ก็ได้มาปรากฏบนนาฬิกาคอลเลกชั่นใหม่ของ ทิวดอร์ รอยัล ซึ่งนั่นรวมไปถึงความโดดเด่นของหน้าปัดสีน้ำเงินตกแต่งด้วยงานขัดลายซันเรย์และซาติน กับขนาดตัวเรือนและฟังก์ชั่นที่มีให้เลือกหลากหลาย กลไก Calibre T201 ตัวเลขบอกเวลาเป็นอักษรโรมัน บอกวันที่ในตำแหน่ง 3.00 นาฬิกา ทั้งยังกันน้ำได้ถึง 100 เมตร
Black Bay Fifty-Eight
ต่อมา นาฬิกาดำน้ำโทนสีน้ำเงินรุ่นดังซึ่งเชื่อมโยงกับกองทัพเรือฝรั่งเศสก็ได้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงกลางยุค 1970s เมื่อทิวดอร์ได้รับความไว้วางใจให้ผลิตและส่งมอบนาฬิกาที่มีคุณสมบัติทางเทคนิคและความทนทานสูงให้กับกองทัพนี้อย่างต่อเนื่องยาวนานถึงเกือบ 20 ปี และได้ใช้สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ พร้อมทั้งแกะสลักบนฝาหลังของนาฬิกาด้วยรหัส M.N. (ย่อมาจาก Marine Nationale) ตามด้วยตัวเลขสองตัวท้ายของปีที่ผลิต ซึ่งกลายมาเป็นฉายา “Tudor MN” ที่บรรดานักสะสมต่างตามหา โดยแบรนด์ได้นำนาฬิการุ่นวินเทจนี้กลับมาทำใหม่เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมาใน Black Bay Fifty-Eight “Navy Blue” กับโทนสีน้ำเงิน “Navy Blue” แบบด้านบนหน้าปัดและขอบตัวเรือน บรรจุในตัวเรือน 39 มม. กลไก Calibre MT5402 (COSC ย่อมาจาก Contrôle officiel suisse des chronomètres รับประกับความเที่ยงตรงของกลไก Chronometer) กันน้ำลึกได้ถึง 200 เมตร มีทั้งสายเหล็ก หรือจับคู่มากับสายผ้าแบบถักสีน้ำเงิน สไตล์เดียวกันกับในอดีตที่ ทิวดอร์ เอ็มเอ็น มักถูกประกอบตัวเรือนเข้ากับสายผ้าหลายชนิด โดยเฉพาะสายแบบถัก
Pelagos
อีกหนึ่งรุ่นมรดกของนาฬิกาทิวดอร์ บลู จะไม่พูดถึง Pelagos (เพลากอส) คงไม่ได้ เพราะนอกจากจะเป็นตัวแทนถึงความเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดระหว่างแบรนด์และท้องทะเลลึกแล้ว ยังนับเป็นคอลเลกชั่นที่เกิดมาพร้อมกับสัญลักษณ์สีน้ำเงินโดยแท้นั่นเอง โดยทิวดอร์ได้พัฒนา Pelagos ขึ้นเพื่อสืบทอดมรดกความเชี่ยวชาญในนาฬิกาดำน้ำสำหรับกองทัพและนักดำน้ำมืออาชีพที่แบรนด์มีมานับตั้งแต่ยุค 1950s หน้าปัดขนาด 42 มม. กลไก Calibre MT5612 (COSC) ดำน้ำได้ลึกถึง 500 เมตร เสริมด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยสำหรับนาฬิกาดำน้ำโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งด้วยวาล์วปล่อยก๊าซฮีเลียมที่อยู่ด้านซ้ายของขอบตัวเรือน ช่วยปกป้องนาฬิกาจากแรงดันน้ำ ไปจนถึงขอบตัวเรือนปรับหมุนได้สำหรับใช้ในการคำนวณเวลาดำน้ำ และระบบสายจากวัสดุไทเทเนียมที่สามารถขยายและหดได้ ลิขสิทธิ์เฉพาะทิวดอร์และตัวพับล็อกสายที่เหมาะสำหรับสวมทับกับชุดดำน้ำได้อย่างมืออาชีพ
Black Bay 32
เสน่ห์ของ ทิวดอร์ บลู ยังไปปรากฏให้เห็นในคอลเลกชั่นนาฬิกาคลาสสิกร่วมสมัย อย่าง Black Bay 32 ด้วยเช่นกัน ที่นำสไตล์งานออกแบบนาฬิกาสำหรับมืออาชีพมาพลิกโฉมสู่นาฬิกาสุภาพสตรี ที่ยังคงบรรจุทั้งฟังก์ชั่นและคุณภาพไว้อย่างครบรส และเติมด้วยรหัสสีน้ำเงินบนหน้าปัดขนาด 32 มม. แล็กเกอร์ตกแต่งแบบเคลือบเงาแวววาว ช่วยให้สีน้ำเงินในรุ่นนี้มีมิติและเล่นกับแสง ตัวเรือนสแตนเลส กลไก Calibre 2824 เครื่องหมายตวเลขและเข็มนาฬิกาเรืองแสงสะดวกกับการดูเวลาในที่มืด เม็ดมะยมประดับยอดด้วยดอกกุหลาบทิวดอร์ กันน้ำลึกได้ถึง 150 เมตร นอกจากสายสแตนเลสแล้วยังสามารถเปลี่ยนเป็นสายผ้าซาติน ที่ถักทออย่างแน่นหนาจากฝรั่งเศส หรือจะเลือกสายหนังสีน้ำตาล เติมความสวยเด่นสไลต์วินเทจและดึงดูดสายตายิ่งขึ้นเมื่ออยู่บนข้อมือผู้หญิงที่สวยเก๋อย่างเลดี้ กาก้า และยังเหมาะกับผู้หญิงแสนเท่ที่รักความสมบุกสมบันอีกด้วย
Heritage Chrono
อีกหนึ่งตัวอย่างของนาฬิกาโทนสีน้ำเงินที่นับเป็นมรดกล้ำค่าของ ทิวดอร์ ก็คือนาฬิกา Heritage Chrono Blue (เฮอร์ริเทจ โครโน บลู) ที่ให้สัมผัสถึงสีน้ำเงินสไตล์นาฬิกาสปอร์ตอันทันสมัย ซึ่งยังคงกลิ่นอายความวินเทจและพลังสร้างสรรค์จากยุค 1970s โดยยังได้แรงบันดาลใจมาจากนาฬิกาโครโนกราฟสีน้ำเงินรุ่นแรกของแบรนด์ อย่าง Monte-Carlo reference 7169 (มอนติ-คาร์โล เรฟเฟอเร้นซ์ 7169) ในปีค.ศ. 1971 ซึ่งเป็นที่นิยมของนักสะสมเป็นอย่างยิ่ง ตัวกลไกเดิมต้องหมุนด้วยมือ ในขณะที่ ทิวดอร์ เฮอริเทจ โครโนกราฟ 70330บี รุ่นใหม่ ใช้เครื่องที่ Self Winding Mechanical Calibre 2892
แม้จะมีรูปลักษณ์คล้ายคลึงกัน แต่ก็มีความแตกต่างในรายละเอียดดังต่อไปนี้ ที่เราสามารถสังเกตุเห็นได้ง่าย คือ 1. รุ่นเก่าจะใช้ชื่อว่า Tudor Oysterdate ส่วนรุ่นใหม่จะใช้คำว่า Tudor Geneva 2. การสลับที่กันของหน้าปัดจับเวลาของนาทีและวินาที โดยของเดิมวินาทีจะอยู่ที่ตำแหน่ง 9.00 นาฬิกา ส่วนนาทีจะอยู่ที่ตำแหน่ง 3.00 นาฬิกา ส่วนรุ่นใหม่วินาทีจะอยู่ที่ตำแหน่ง 3.00 นาฬิกา และ นาทีจะอยู่ที่ตำแหน่ง 9.00 นาฬิกา 3. ตำแหน่งวันที่เล็กลงเพื่อให้กลมกลืนกับขีดที่บอกเวลา 4. เพิ่มขีดเวลาบอกวินาทีตรงรอบกรอบหน้าปัด 5. รูปทรงของปลายเข็มนาฬิกาและสีสันของตัวเข็มนาฬิกาที่บอกชั่วโมงและนาทีแตกต่างกันเล็กน้อยดังภาพ 6. เม็ดมะยมปุ่มกดรุ่นใหม่มีการออกแบบขนาดและลายสลักให้กระชับมือมากยิ่งขึ้นในการหมุน ของเดิมนั้นจะมีความคล้ายคลึงกับนาฬิกาโรเล็กซ์
ส่วนสีหน้าปัดสีขาวนวล Opaline และสีน้ำเงินที่ชวนให้นึกถึงคลื่นทะเลและน้ำทะเลสีน้ำเงินสด (Azure Blue) แห่งชายฝั่ง Riviera ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับสายผ้าลายทางสีน้ำเงิน ขาว ส้ม ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประวัติศาสตร์ของ ทิวดอร์ บลู อย่างเต็มเปี่ยมนั่นเอง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากได้นาฬิกาคุณภาพ แข็งแกร่ง เชื่อถือได้ ราคาที่สมเหตุสมผล
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF TUDOR
ART DIRECTOR: Perayut Limpanastitphon
สามารถอ่านคอนเทนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ นาฬิกา ได้ที่
