ค.ศ. 1969 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์สำคัญของอุตสาหกรรมนาฬิกา ที่มีการคิดค้นกลไกหลายหลากเกิดขึ้น และคงต้องนับรวมปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงสำคัญครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับ Zenith El Primero ในฐานะหนึ่งในผู้นำและผู้เปลี่ยนเกมให้กับนาฬิการุ่นจักรกลโครโนกราฟแบบอัตโนมัติ
ปีค.ศ. 1969 นับเป็นปีอันน่าจดจำของผู้ผลิตนาฬิกานามว่า Zenith (เซนิธ) และยังเป็นปีประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของการประดิษฐ์สร้างสรรค์นาฬิกา ในฐานะปีที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับโฉมหน้านาฬิกาจักรกลโครโนกราฟแบบอัตโนมัติไปตลอดกาล เพราะเป็นปีที่นาฬิกาหลายๆ แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่ม Heuer (ฮอยเออร์), Breitling (ไบรท์ลิงก์), Hamiltion-Buren (แฮมิลตัน-บูเรน) ที่ใช้ไมโคร-โรเตอร์ของ Buren movement และ เครื่องโครโนกราฟของ Dubois Dépraz (ดูบัวส์ เดปราส) และแบรนด์ญี่ปุ่นอย่าง Seiko 6139 calibre และ Zenith ได้ทำการเปิดตัว El Primero (เอล พรีเมโร เป็นภาษาสเปน แปลว่า ความเป็นที่หนึ่ง) ตัวเรือนสเตนเลสสตีลพร้อมกันถึงสามรุ่น โดยใช้กลไกจักรกลอัตโนมัติโครโนกราฟความถี่สูง (36,000 ครั้ง/ชั่วโมง) บรรจุภายในนาฬิกา ได้แก่รุ่น A384, A385 และ A386 ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ A385 ซึ่งเป็นนาฬิกาโครโนกราฟที่มีรูปทรงถังเบียร์หรือทรงตอนโน (tonneau) พร้อมด้วยหน้าปัดสีน้ำตาลไล่เฉดเด่นสะดุดตา นับเป็นหน้าปัดสีรมควัน หรือ “smoked” ครั้งแรกเท่าที่เคยมีมาในอุตสาหกรรมนาฬิกา ส่วน A384 จะมีรูปทรงแบบตอนโนเช่นเดียวกันกับ A385 พร้อม Panda dial (แพนด้า ไดอัล) ในขณะที่รุ่น A386 มีรูปทรงแบบคลาสิคพร้อมด้วย tri-color dial ยังเป็นที่นิยมของนักสะสมนาฬิกา
จะว่าไปแล้ว El Primero A385 (เอล พรีเมโร เอ 385) ได้พาดหัวข่าวครั้งใหญ่ให้กับวงการนาฬิกา ในปีค.ศ. 1970 เนื่องจาก A385 ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “Operation Sky” (โอเปอเรชัน สกาย) ซึ่งเป็นการทดสอบสมรรถนะแบบสุดขั้ว โดยการผูกนาฬิกาไว้กับแลนดิ้งเกียร์ซึ่งทำหน้าที่ช่วยรับแรงกระแทกในขณะร่อนลงจอดของเครื่องบิน Air France Boeing 707 (แอร์ ฟรานซ์ โบอิ้ง 707) บนเที่ยวบิน 015 ที่เดินทางจากปารีสสู่นิวยอร์ก เพื่อทดสอบความทนทานต่อสภาวะและการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากภายนอก เช่น อุณหภูมิอันสุดขั้ว จาก +4 ถึง -62 องศาเซลเซียส ความผันผวน แรงลมและการเปลี่ยนแปลงของความกดอากาศที่ลดลงถึง 75% โดยเมื่อลงจอด นาฬิกาเรือนนั้นก็ยังสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์แม่นยำ ซึ่งนับว่าเป็นชัยชนะอันท้าทายและแข็งแกร่ง ที่สร้างความมั่นใจให้กับทีมทำงานผู้ทุ่มเทในการพัฒนาและผลิตกลไก El Primero calibre (เอล พรีเมโร คาลิเบอร์) เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีว่ากลไกจักรกลชุดนี้มีความสามารถเหนือยิ่งกว่ากลไกแบบควอตซ์ใดๆ ที่กำลังได้รับความนิยม ณ ช่วงเวลานั้น ด้วยเหตุผลที่ว่ากลไกควอตซ์ไม่สามารถทนทานต่อการผันแปรและความแตกต่างของอุณหภูมิในระหว่างทำการบินได้นั่นเอง
จากจุดกำเนิดของตำนานโครโนกราฟแบบอัตโนมัติ ที่วันนี้ยังคงกลายเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์ที่พลิกโฉมหน้าให้กับวงการนาฬิกาโลกไปอย่างสิ้นเชิง บวกกับที่ก่อนหน้านี้ Zenith เองก็ได้เปิดตัวนาฬิการุ่น Revival ออกมาแล้วหลายรุ่น ดังจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปีค.ศ. 1960 มีนาฬิการุ่น เอล พรีเมโร กว่า 70 เวอร์ชั่น และแต่ละรุ่นก็ได้นำเอามรดกในกรุสมบัติดั้งเดิมของโรงงานการผลิตกลับมาทำใหม่ได้อย่างน่าสนใจ อย่างเป็นกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติที่ไม่ต้องใช้มือหมุน เข็มวินาทีของ เอล พรีเมโร ที่สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างราบรื่น แม้จะมีการขยับเข็มถึง 10 ครั้ง ต่อ วินาที แสดงความสามารถในการจับเวลา 1 ส่วน 10 วินาที และกลไลภายใน ทั้ง Column wheel หรือ Horizontal clutches ได้แสดงถึงสมรรถนะอันยอดเยี่ยมและความงดงาม แน่นอนว่าเอล พรีเมโร สร้างความตื่นเต้นให้กับบรรดานักสะสมไปจนถึงผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางจักรกลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนี้อย่างมาก
ล่าสุด แบรนด์จึงได้นำตำนานกว่า 50 ปีของ A385 กลับมาทำใหม่อีกครั้งในรูปแบบของนาฬิการุ่น Chronomaster Revival A385 (โครโนมาสเตอร์ รีไววัล เอ385) ที่ Zenith นำเอาหนึ่งในนาฬิกาโครโนกราฟที่ติดตั้งด้วยกลไก El Primero รุ่นแรกๆ และนับเป็นสัญลักษณ์แห่งตำนานสูงสุดจากประวัติศาสตร์การปฏิวัติด้านกลไกจักรกลครั้งนั้นกลับมารังสรรค์ใหม่
โดยถอดต้นแบบทั้งหน้าตาและคุณสมบัติมาจากรุ่นดั้งเดิมในปีค.ศ. 1969 แทบทั้งหมด จึงถือเป็นรุ่น “reproduction” มากกว่าการรังสรรค์ขึ้นมาใหม่ จากการใช้ original blueprints และแผนการผลิตทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง ทั้งด้านการออกแบบตัวเรือนสเตนเลสสตีลทรงตอนโน 37 มม. ของ A385 ไปจนถึงปุ่มกดสไตล์ปั๊มที่มาจากรุ่นดั้งเดิมในปีค.ศ 1969 มีเพียงจุดแตกต่างไม่กี่ข้อ เช่น กระจกหน้าปัดแซฟไฟร์โค้งโดมที่เข้ามาแทนที่กระจกอะครีลิค และฝาหลังแบบเปิดโชว์ด้วยกระจก แทนที่จะเป็นฝาหลังสตีลทึบ เพื่อให้เห็นกลไก El Primero 400 chronograph ได้อย่างชัดเจน
แต่สิ่งที่ทำให้ A385 โดดเด่นที่สุดก็คงหนีไม่พ้นหน้าปัดสีน้ำตาลรมควัน “smoked” โทนอบอุ่นแบบไล่เฉดจากน้ำตาลอ่อนไปเข้มขึ้นบริเวณรอบขอบหน้าปัด ซึ่งช่วยมอบมิติความลุ่มลึกของภาพได้มากยิ่งขึ้นราวกับว่าหน้าปัดนี้มีความโค้งขึ้นเล็กน้อย แบบเดียวกันกับรุ่นดั้งเดิม รวมทั้งการติดตั้งด้วยเข็มจับเวลาวินาทีกลางสีแดง และหน้าปัดย่อยโครโนกราฟที่เป็นสีเงิน-ขาว ซึ่งให้อารมณ์ของธีมเรโทรที่ลงตัว จับคู่มากับตัวเลือกของสายสองแบบที่ได้มาจากรุ่นปีค.ศ. 1969 เหมือนกัน คือ สายสตีลแบบขั้นบันได หรือ “ladder” ที่เป็นการรีเมกมาจากสายของ Gay Frères (เก แฟรส์) ผู้เชี่ยวชาญด้านการผลิตสาย ซึ่งได้กลายเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์เฉพาะของนาฬิกา El Primero ยุคแรกๆ กับแบบที่สองคือสายหนังวัวสีน้ำตาลอ่อน ที่พอใส่ไปนานๆ จะเกิด patina ทำให้สายแต่ละเส้นมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน
ครบทั้งสัดส่วน งานออกแบบ และหน้าตาอันโดดเด่นตามต้นแบบของรุ่นประวัติศาสตร์ บวกกับกลไกโครโนกราฟระดับตำนาน อย่าง El Primero เชื่อว่า Chronomaster Revival A385 เรือนนี้จะเปรียบเสมือนสัญลักษณ์สำคัญในการเป็นผู้นำของแบรนด์ อันเป็นที่ต้องการของนักสะสมอย่างแน่นอน
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF Zenith
ART DIRECTOR: Perayut Limpanastitphon
สามารถอ่านคอนเทนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ นาฬิกา ได้ที่