Audemars Piguet ฉลองครบรอบ 50 ปีของ Royal Oak ด้วยการเปิดตัวเจเนอเรชันใหม่ของ Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin Openworked (ref. 16204)
Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin Openworked “50th Anniversary” สร้างชื่อเสียงระดับตำนานมาอย่างยาวนานตลอด 50 ปี สำหรับคอลเลกชันเรือนเวลา Royal Oak ของ Audemars Piguet (โอเดอมาร์ส ปิเกต์) ที่ในโอกาสฉลองครบรอบห้าทศวรรษนี้ Royal Oak ได้ต้อนรับการหวนคืนกลับมาอย่างโดดเด่นของนาฬิกา “Jumbo” พร้อมทั้งกลไกสเกเลตันหรือโอเพนเวิร์ก (openworked) บางพิเศษชุดใหม่ ที่ขับเคลื่อนภายใต้รูปโฉมสองเวอร์ชันให้เลือกระหว่างเวอร์ชันสเตนเลสสตีล หรือพิงค์โกลด์ ใน Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin Openworked (ref. 16204) หนึ่งในรุ่นร่วมฉลอง 50 ปีของ Royal Oak ปีนี้
นับจากการเปิดตัวครั้งแรกของ Royal Oak ในปี ค.ศ. 1972 ขณะที่ในปี ค.ศ. 1981 นาฬิกาโอเพนเวิร์กเรือนแรกในตระกูล Royal Oak ได้เผยโฉมขึ้นด้วยเวอร์ชันจี้ของ Model 5710BA ก่อนจะตามมาด้วยในปี ค.ศ. 1986 ด้วยรุ่น Model 2536 ซึ่งติดตั้งด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติแสดงปฏิทินถาวรหรือเพอร์เพทชวล คาเลนดาร์ (perpetual calendar) บางพิเศษ อย่าง Calibre 2120/2800 จวบจนนาฬิกาโอเพนเวิร์กรุ่นต่างๆ ได้ทยอยเข้ามาเสริมทัพให้กับคอลเลกชัน Royal Oak มากขึ้นตลอดช่วงปี 1990s ซึ่งนับเป็นทศวรรษที่มีการเปิดตัวแนะนำนาฬิกา Royal Oak รุ่นโอเพนเวิร์กมากมาย และมีความหลากหลายทั้งเรื่องของขนาดและสไตล์มากขึ้น
มูลนิธิ Audemars Piguet Foundation
ส่วนนาฬิกา “Jumbo” แบบโอเพนเวิร์กรุ่นแรกนั้นเปิดตัวในปี ค.ศ. 1992 ซึ่งเป็นรุ่นเฉพาะหนึ่งเดียว (14811) ที่มาพร้อมความโดดเด่นของหน้าปัดตกแต่งลวดลายไม้โอ๊กสลักอันประณีตสวยงาม และได้นำร่วมประมูลเพื่อสนับสนุนมูลนิธิ Audemars Piguet Foundation จากนั้น นาฬิกา “Jumbo” สไตล์โอเพนเวิร์กรุ่นต่างๆ ได้รังสรรค์ขึ้นตามมา พร้อมด้วยการติดตั้งด้วยกลไกบางพิเศษอย่าง Calibre 2120 ซึ่งเปิดตัวในซีรีส์ผลิตจำนวนไม่มากจวบจนถึงปี ค.ศ. 2000 ส่วนเวอร์ชันอื่นๆ นั้นได้ถ่ายทอดด้วยความหลากหลายของสไตล์และงานดีไซน์ รวมถึงการตกแต่งด้วยอัญมณี กระทั่งในปี ค.ศ. 2010 จึงได้เห็นการหวนคืนกลับมาของ “Jumbo” โอเพนเวิร์กอีกครั้ง ด้วยรุ่น Model 15305 ที่ครั้งนี้เป็นการติดตั้งด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ Calibre 3129 ซึ่งหนา 4.31 มิลลิเมตร ในตัวเรือนสเตนเลสสตีล และอีกสองปีต่อมา กับการเปิดตัวรุ่นพิเศษผลิตจำนวนจำกัดของ “Jumbo” โอเพนเวิร์กด้วยหน้าปัดสีเทา เพื่อร่วมเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปีของ Royal Oak ในปี ค.ศ. 2012 โดยมาพร้อมการขับเคลื่อนของกลไกชุดใหม่ Calibre 5122 และล้อมกรอบด้วยความสง่างามของตัวเรือนแพลทินัม 950 ขณะที่ในปี ค.ศ. 2014 จึงตามมาด้วยเวอร์ชันของตัวเรือนพิงค์โกลด์อันสง่างาม
นั่นคือส่วนหนึ่งของเรื่องราวแห่งวิวัฒนาการของ Royal Oak “Jumbo” ในเวอร์ชันโอเพนเวิร์ก ที่ได้เรียกได้ว่าเป็นคอลเลกชันที่นักสะสมและผู้ที่หลงใหลในเรือนเวลาจักรกลต่างเฝ้าติดตามไม่แพ้ทายาทของบรรดา Royal Oak รุ่นอื่นๆ ซึ่งในปีนี้ เพื่อเป็นการฉลอง 50 ปีของ Royal Oak แบรนด์จึงได้พา Royal Oak “Jumbo” โอเพนเวิร์กหวนคืนกลับมาอีกครั้ง พร้อมด้วยกลไกใหม่ และความสวยงามประณีตละเอียด เพื่อตอกย้ำถึงความสำเร็จของการสร้างสรรค์นาฬิกาด้วยคุณลักษณะอันโดดเด่นและท้าทายเหล่านี้
โดยใน Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin Openworked ของปีนี้จะมีให้เลือกในสองเวอร์ชันของตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 39.0 มิลลิเมตร และสายสร้อยข้อมือทำจากสเตนเลสสตีล หรือพิงค์โกลด์ 18 กะรัต ส่วนภายในขับเคลื่อนด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติแบบโอเพนเวิร์กชุดใหม่ อย่าง Calibre 7124 เช่นเดียวกับความพิเศษของการติดตั้งด้วยโรเตอร์ฉลอง “50 years” ของ Royal Oak ที่สามารถมองเห็นได้ผ่านฝาหลังกระจกแซฟไฟร์ ผสานกับงานดีไซน์ร่วมสมัยที่สะท้อนถึงการตีความใหม่และสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องของแบรนด์ รวมถึงการผสมผสานไว้ด้วยเทคนิคโบราณเก่าแก่เพื่อสืบทอดจิตวิญญาณที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Royal Oak
ความโดดเด่นของรุ่นใหม่นี้ คือการเปิดตัวคู่กับกลไก Calibre 7124 ที่พัฒนาสู่สไตล์โอเพนเวิร์กมาจากกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติบางพิเศษ Calibre 7121 ซึ่งขับเคลื่อนอยู่ในสมาชิกรุ่นใหม่ต่างๆ ของ 16202 สำหรับ Calibre 7124 นอกจากการเป็นกลไกโอเพนเวิร์กแล้ว ยังคงไว้ด้วยความบางพิเศษ ที่วัดความหนาได้เพียง 2.7 มิลลิเมตร และแม้ด้วยความบางพิเศษนี้ แต่กลับสำรองพลังงานได้มากกว่าคาลิเบอร์บางพิเศษรุ่นพี่ อย่าง Calibre 5122 (หนา 3.05 มิลลิเมตร) ด้วยเพราะมีตลับลานที่ใหญ่กว่าจึงมอบพลังงานสำรองได้อย่างน้อย 57 ชั่วโมง โดยกลไกชุดนี้ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง หรือ 4 เฮิรตซ์ ทั้งยังคงแสดงเวลาชั่วโมงและนาทีบนหน้าปัดกลางซึ่งตกแต่งแบบสเกเลตันอย่างสมบูรณ์ และเผยให้เห็นชิ้นส่วนกลไกที่ผ่านการผลิตอย่างแม่นยำ รวมถึงผ่านการตกแต่งอย่างประณีตละเอียดอ่อนด้วยเทคนิคเก่าแก่ต่างๆ เช่น งานขัดมุม V ด้วยมือ ที่สามารถชื่นชมได้ทั้งสองด้านของนาฬิกา สะท้อนถึงงานฝีมืออันพิถีพิถันแม้ในมุมและรายละเอียดที่เล็กที่สุด
ขณะที่ดีไซน์ตัวเรือนและสายสร้อยข้อมือของรุ่นใหม่นี้ ตกแต่งด้วยการสลับระหว่างงานขัดด้านซาตินและขัดเงาอันเป็นเอกลักษณ์ของ Audemars Piguet ซึ่งปรากฏบนพื้นผิวทั้งหมดของทั้งตัวเรือนตลอดจนตัวพับล็อกสาย โดยในเวอร์ชันสเตนเลสสตีลเติมเต็มด้วยกลไกโอเพนเวิร์กตกแต่งโทนสีโรเดียม และมอบมิติของการเล่นกับแสงสะท้อนที่แตกต่างมีเอกลักษณ์ ส่วนโรเตอร์ “50 years” ทำจากพิงค์โกลด์ 22 กะรัต ตกแต่งด้วยโทนสีโรเดียมเดียวกัน และรับไปกับเฉดสีเทาของกลไก รวมถึงการตัดด้วยเครื่องหมายบอกชั่วโมงและเข็มชี้ เช่นกันกับรางเกียร์เฟืองที่เป็นโทนสีพิงค์โกลด์ ช่วยให้มิติมากยิ่งขึ้น
ส่วนในเวอรชันพิงค์โกลด์นั้นบรรจบระหว่างสองโทนต่างกัน คือสีเทาบนสะพานจักรแบบโอเพนเวิร์ก และแท่นเครื่อง รวมถึงตลับลานแบบโอเพนเวิร์กที่เป็นสีเทาอ่อน ณ ตำแหน่ง 11 นาฬิกา ซึ่งเปิดเปลือยให้เห็นเมนสปริงขดภายในอันเป็นแหล่งพลังงานหลักของนาฬิกา ส่วนตลับลานสะท้อนถึงสกรูไวท์โกลด์ทรงหกเหลี่ยมที่ประกอบอยู่บนขอบตัวเรือน ตัดด้วยบาลานซ์วีลและรางเกียร์เฟืองสีพิงค์โกลด์ เช่นกันกับเครื่องหมายบอกชั่วโมงและเข็มชี้ ที่เสริมมิติและการเล่นกับแสงได้อย่างโดดเด่น แน่นอนว่า เฉกเช่นเดียวกับนาฬิกาแห่งการฉลอง 50 ปีของ Royal Oak ทุกรุ่นในปีนี้ ที่มาพร้อมด้วยการติดตั้งโรเตอร์ “50 years” ของ Royal Oak โดยทำจากพิงค์โกลด์ 22 กะรัต ที่ตัดอย่างโดดเด่นด้วยฉากหลังอันซับซ้อนของโครงสร้างกลไกที่มองเห็นได้จากด้านฝาหลังของนาฬิกา
Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin Openworked นับเป็นอีกหนึ่งรุ่นฉลอง 50 ปีของ Royal Oak อย่างยิ่งใหญ่ ที่ในปีนี้ Audemars Piguet ได้เตรียมเผยโฉมอีกหลากหลายผลงานแห่งการฉลองครบรอบคอลเลกชันระดับตำนานนี้ที่จะเปิดตัวตามมาอีกมากมาย
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF AUDERMARS PIGUET
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่