นาฬิกาสองคอลเลกชันที่เป็นดั่งไอคอนสูงสุดของ Longines พลิกโฉมสู่สไตล์สีสันแบบโมโนโครมาติกอันทรงเสน่ห์และสง่างาม
Longines’s Monochromatic Versions of Two Most Iconic Timepieces เป็นอีกครั้งของการตีความและพลิกโฉมหน้าใหม่ของสองคอลเลกชันที่เป็นดั่งไอคอนิกสูงสุดของ Longines (ลองจินส์) อย่าง Longines DolceVita และ La Grande Classique de Longines ที่ทั้งสองครอบครัวเรือนเวลานี้ ล่าสุดได้เปิดตัวแนะนำสมาชิกรุ่นใหม่ ซึ่งมาพร้อมเฉดสีที่ทั้งเข้มแข็งและสนุกสนาน แต่ยังคงไว้ด้วยหัวใจของการเป็นตัวแทนสีที่บ่งบอกถึงสไตล์อันคลาสสิกและสง่างามตามวิถีอันเป็นแบบฉบับของ Longines
โดยแต่ละรุ่น และแต่ละเวอร์ชันนั้นได้ถ่ายทอดความทรงพลังของสไตล์สร้างสรรค์ ที่กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของทั้ง Longines DolceVita และ La Grande Classique de Longines โดยผ่านการเลือกใช้เฉดสีเฉพาะ อย่าง carmine red, spring green, classic black, burnt orange และ cobalt blue ซึ่งนำมาผสมผสานในองค์ประกอบของนาฬิกา โดยเฉพาะการนำเสนอผ่านหน้าปัดและการจับคู่สายเฉดสีเดียวกัน ที่ได้มอบสไตล์อันน่าตื่นเต้นบนข้อมือ
คอลเลกชันนาฬิกาทั้งสองตระกูลนี้ได้สร้างวิวัฒนาการด้านสไตล์และความเป็นต้นแบบของเรือนเวลาคลาสสิกร่วมสมัยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงไม่น่าแปลกใจที่มีผู้ซึ่งหลงใหลและติดตามผลงานของทั้งคู่อยู่ไม่น้อยจากทั่วโลก โดยเฉพาะผู้ซึ่งชื่นชอบและมองหานาฬิกาที่มีความประณีตละเอียดอ่อน แฝงไว้ด้วยเรื่องราวอันแสนพิเศษของการสร้างสรรค์ และเรียกได้ว่านาฬิการุ่นใหม่เหล่านี้ได้ตอบโจทย์ความต้องการและความปรารถนาเหล่านั้นได้อย่างลงตัว โดยการประกาศเปิดตัวแนะนำผลงานรุ่นใหม่แห่งสไตล์ และในเวอร์ชันโมโนโครมาติกนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งนาฬิกายอดนิยมท่ามกลางหมู่ผู้คนที่เฝ้าติดตามและชื่นชอบทั้งสองคอลเลกชันนี้ได้ไม่น้อยเช่นกัน
สำหรับแต่ละคอลเลกชันนั้นได้ต้อนรับเฉดสีใหม่ทั้งหมดห้าสี ซึ่งแต่ละสีล้วนผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน และพร้อมร่วมแสดงออกถึงบุคลิก ความชื่นชอบ และสไตล์ของเจ้าของผู้สวมใส่เรือนเวลาเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบอีกครั้ง เริ่มจากสีแดงcarmine red ที่โดดเด่นสะกดสายตานับตั้งแต่แรกเห็น หรือสีเขียว spring green ที่เผยตัวตนและความหลงใหลของเจ้าของที่มีต่อโลกและพลังแห่งธรรมชาติ ส่วนสีดำ classic black ตอกย้ำอย่างชัดเจนถึงสไตล์อันสุขุมลุ่มลึก แต่ทรงเสน่ห์น่าค้นหา ตัดกับสีส้ม burnt orange ที่ทั้งหรูหราและเหนือกาลเวลา บ่งบอกถึงความอบอุ่นและเป็นมิตร ปิดท้ายด้วยสีน้ำเงิน cobalt blue แห่งการเฉลิมฉลองความกลมกลืนและสมดุลภายใน ที่หล่อหลอมเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคุณเอง นับเป็นการเติมเต็มเฉดสีใหม่ที่ทำให้ทั้งสองคอลเลกชันเรือนเวลานี้น่าติดตามมากยิ่งขึ้น
นับตั้งแต่เปิดตัวในปี ค.ศ. 1997 Longines DolceVita ได้เป็นตัวแทนส่งต่อข้อความหลักแห่งความสง่างามอันร่วมสมัยของแบรนด์สู่ทั่วโลก และในนาฬิกาเฉดสีใหม่นี้ยังพร้อมสำหรับสร้างสีสันแห่งการใช้ชีวิต โดยมาพร้อมตัวเรือนรูปทรงสี่เหลี่ยมร่วมสมัย ขนาด 23.30 มิลลิเมตร x 37.0 มิลลิเมตร ที่มอบความสะดวกสบายเมื่อสวมใส่บนข้อมือ รวมถึงการบรรจุด้วยการแสดงวินาทีบนหน้าปัดที่ลงตัว และขอบชุบโรเดียมซึ่งช่วยเสริมมิติความโดดเด่นของเฉดสีในแต่ละหน้าปัดให้ยิ่งโดดเด่นมากขึ้น
ขณะที่ La Grande Classique de Longies คงไว้ด้วยงานออกแบบคลาสสิกเหนือกาลเวลา ที่ได้สร้างให้คอลเลกชันนี้กลายเป็นอีกหนึ่งไอคอนของ Longines ตลอดกาล โดยมาพร้อมกับเฉดสีใหม่ซึ่งผสมผสานอย่างกลมกลืนเข้ากับความสง่างามของตัวเรือนทรงกลมคลาสสิก กับสัดส่วนตัวเรือนที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 29.0 มิลลิเมตร เจิดจรัสด้วยสีสันของหน้าปัดแล็กเกอร์เคลือบขัดเงา ทั้งยังรายล้อมด้วยขอบตัวเรือนประดับเพชร Top Wesselton 44 เม็ด
ทั้ง Longines DolceVita และ La Grande Classique de Longines กับเฉดสีใหม่อันทรงพลังของวันนี้ ยังเป็นตัวแทนของสองส่วนสำคัญสำหรับ Longines นั่นคือมรดกของการสร้างสรรค์เรือนเวลาคุณภาพขึ้นด้วยความเชี่ยวชาญที่สืบทอดมาจากประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาอันยาวนานของตน นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นในปี ค.ศ. 1832 และความสง่างามเหนือกาลเวลาที่เป็นนิยามอันโด่งดังของแบรนด์ “Elegance is an attitude” เสมอมานั่นเอง
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF LONGINES
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่
