พี่น้องดัฟเฟอร์เผย “พวกเราไม่ได้ตั้งใจลืมวันเกิดของวิล!”: อ่านเรื่องราวสนุกๆ ใน More About Stranger Things 4 ก่อนชมซีรีส์พาร์ต 2 เดือนกรกฎาคมนี้
นับว่าประสบความสำเร็จแบบไม่ผิดความคาดหมาย สำหรับซีรีส์ไซไฟภาคต่อชื่อดังอย่าง Stranger Things 4 พาร์ต 1 ที่ทะยานขึ้นสู่ซีรีส์ยอดนิยมที่มียอดการเข้าชมมากที่สุดตั้งแต่วันแรกที่่เปิดฉายใน 93 ประเทศ ด้วยยอดการรับชมรวม 286.79 ล้านชั่วโมง ทำลายสถิติซีรีส์ภาษาอังกฤษที่มีผู้ชมสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่สัปดาห์แรกที่เปิดฉาย จนเราอยากจะขยี้ความสำเร็จนี้และเอาใจแฟนๆ ซีรีส์ด้วยการชวนมาอ่าน More About Stranger Things 4 สารพันเรื่องราวหลังซีรีส์ออกฉาย ก่อนไปรอชมพาร์ตต่อ 2 ตอนสุดท้ายวันที่ 1 กรกฎาคมนี้
เรื่องราวในสเตรนเจอร์ ธิงส์ 4 พาร์ท 1 แบ่งออกเป็น 4 เส้นเรื่องใหญ่คือการไขปริศนาปีศาจตัวใหม่ที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมในฮอวกินส์ ภารกิจช่วยเหลือตัวประกันของจอยซ์และเมอร์เร่จากค่ายกักกันรัสเซีย การไล่ล่าและหลบหนีสุดดุเดือดของวิลกับไมค์ และการกลับสู่ศูนย์วิจัยเพื่อเรียกคืนพลังจิตของแอล โดยเรื่องราวทั้งหมดมีจุดสำคัญร่วมกันคือการต่อสู้กับปีศาจจากโลกกลับด้านที่ยังคงไม่หายไป หนำซ้ำยังร้ายกาจยิ่งกว่าในภาคที่ผ่านมา
เซดี้ ซิงค์ ในบทบาทแม็กซ์และซีนเด่นประจำซีซันของเธอที่ทำให้นักวิจารณ์หลายคนชื่นชมและจับตามอง
ซึ่งแน่นอนว่าหนึ่งในตัวละครที่จะมองข้ามไม่ได้เลยคือแม็กซ์ (Max) ที่รับบทโดยเซดี้ ซิงก์ (Sadie Sink) เด็กสาวผู้ต้องทุกข์ทนกับอาการกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างรุนแรง (PTSD) หลังจากเสียพี่ชายผู้เป็นเหมือนเสาหลักของครอบครัวไปจากเหตุการณ์ในซีซันที่แล้ว และทำให้เธอเริ่มถูกครอบงำจากสิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งหมายจะเอาชีวิตเธอไป
ในซีซันนี้นอกจากฉากหลุมศพบิลใน Episode 4 ที่แม็กซ์ถูกครอบงำจากปีศาจเว็คน่า (Vecna) และพยายามดึงตัวไปยังโลกกลับด้าน จะทำให้เพลง Running Up That Hill (1985) จากเคต บุช (Kate Bush) ที่ถูกใช้ประกอบในฉากนั้นกลับมาฮ็อตฮิตแบบถึงขีดสุดอีกครั้งโดยมียอดเข้าฟังสูงขึ้นกว่า 8,000% บน Spotify
เซดี้ยังแสดงศักยภาพและพัฒนาการทางการแสดงที่ก้าวกระโดด เพื่อถ่ายทอดอารมณ์และความเครียดแสนสับสนที่แม็กซ์ต้องแบกรับหลังการสูญเสียจนทำให้เธอพยายามปลีกตัวและหนีห่างจากเพื่อนๆ ซึ่งเซดี้ก็ทำออกมาได้อย่างน่าทึ่งจนสื่อหลายสำนักเริ่มจับตามองว่าเธออาจจะได้เข้าชิงในสาขานักแสดงสมทบหญิงจากเวทีเอ็มมีอวอร์ดสปีนี้
ที่น่าสนใจเพื่อถ่ายทอดบทบาทของจิมที่ต้องกลายเป็นเชลยแรงงานของเหล่าทหารรัสเซีย
เช่นกันกับเดวิด ฮาร์เบอร์ (David Harbour) ในบทบาทจิม ฮ็อปเปอร์ (Jim Hopper) นายตำรวจหนุ่มแห่งเมืองฮอวกินส์ผู้ถูกจับเป็นเชลยในค่ายกักกันแรงงานของรัสเซีย เขาพยายามจะติดต่อจอยซ์ (Joyce Byers) ที่รับบทโดยวิโนนา ไรเดอร์ (Winona Ryder) เพื่อส่งข่าวว่าเขายังไม่ตายและในขณะเดียวกันเขาเองก็สู้ยิบตาเพื่อหาทางแหกค่ายกักกันนั้นออกมาให้ได้
เดวิด ฮาร์เบอร์เผยว่าการมารับบทเป็นฮอปเปอร์ในซีซันนี้ที่ถูกจองจำเพื่อใช้แรงงานอย่างหนักและไม่ได้กินอาหารดีๆ ทำให้เขาต้องลดน้ำหนักไปร่วม 70 ปอนด์ หรือประมาณ 31 กิโลกรัมจากตอนที่รับบทเป็นเรดการ์เดียน (Red Gurdian) ใน Black Widow (2021) เพื่อทำให้คนดูเห็นว่าฮอปเปอร์ถูกทรมานอย่างหนักจากการโดนจับเป็นเชลย
“โลกในซีรีส์เรื่องนี้ทำงานแบบนั้น ผมได้รู้เรื่องทั้งหมดจนถึงตอนจบแล้วและรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในซีรีส์ชุดนี้สมเหตุสมผล การที่บ็อบ (แฟนเก่าของจอยซ์) ตายในซีซันที่ 2 เพราะเขาใสซื่อเกินไป โลกไม่มีที่เพียงพอสำหรับคนที่บอกสัตว์ประหลาดว่า ‘อย่าเข้ามานะ!’ แล้วหวังว่ามันจะปล่อยคุณไป คุณจำเป็นต้องแกร่งกว่านั้นเพื่อจะมีชีวิตรอด”
ผู้ชมจะได้เห็นตัวละครฮอปเปอร์ต่อสู้อย่างหนักและใช้สารพัดวิธีเพื่อหาหนทางในการหลบหนี ทั้งที่หากเป็นตัวละครอื่นคงหมดหวังและยอมแพ้ไปแล้ว แต่เดวิดออกแบบตัวละครฮอปเปอร์อย่างน่าทึ่งและทำให้ผู้ชมเข้าใจว่าทำไมจิมถึงเอาตัวรอดมาได้แม้ในสถานการณ์ที่ยากที่สุด
แม้คุณพ่อฮอปเปอร์สจะพูดอย่างนั้น แต่ดูเหมือนลูกสาวอย่างมิลลี่ บ็อบบี้ บราวน์ (Milli Bobby Brown) ที่รับบทเป็นแอล (Ele) จะคิดต่างออกไป “หนูว่าพี่น้องดัฟเฟอร์ใจอ่อนเกิดไปค่ะ! เขาแทบจะไม่กล้าฆ่าใครในซีรีส์เลย” เธอเผยความในใจในบทสัมภาษณ์หลังจากงานเปิดตัวซีรีส์ในซีซันล่าสุด “ตอนเราถ่ายรูปรวม หนูแบบว่า โอ้โห นี่เราล้นเฟรมกันไปหมดแล้วนะ เรามีนักแสดงเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
มิลลี่ให้ความเห็นว่าพี่น้องดัฟเฟอร์น่าจะเริ่มฆ่าตัวละครหลักจากซีรีส์บ้าง โดยดูตัวอย่างจากซีรีส์ชื่อดังอย่าง The Game of Thrones ที่ตัวละครหลักในเรื่องตายกันเป็นผักปลา ก่อนจะเล่าติดตลกอย่างอารมณ์ดี “ซีซันที่แล้วเขาพยายามฆ่าฮอปเปอร์แต่ก็มาเฉลยในซีซันนี้ว่ายังมีชีวิตรอด หนูพยายามบอกพวกเขาด้วยค่ะว่าให้เริ่มฆ่าใครสักคนได้แล้ว หรือถ้าไม่รู้จะฆ่าใครจริงๆ จะเขียนให้แอลตายหนูก็โอเคนะ”
บ็อบบี้บราวน์ รับบทแอล เคเลบ แมคลอฟลิน รับบทลูคัส เกเทน มาทาราซโซ รับบทดัสติน และโนอาห์ ชแนปป์ รับบทวิล
แม้มิลลี่จะไม่ได้เล่าต่อว่าสองพี่น้องดัฟเฟอร์ให้คำตอบเธอว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่รอส ดัฟเฟอร์ (Ross Duffer) ก็ได้ตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้สั้นๆ ในบทสัมภาษณ์ของ Variety เช่นกัน ว่าเขายังไม่อยากพูดถึงเรื่องการตายของตัวละครในพาร์ต 2 ที่กำลังจะมาถึงเพราะอยากให้ทุกคนรอติดตามเอง
“ที่จริงแล้วผมยังไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้สักเท่าไร แต่เรื่องราวในพาร์ต 2 ค่อนข้างดาร์ค เด็กๆ เริ่มโตขึ้นและตกอยู่ในอันตรายตลอดเวลา ไม่มีอะไรรับประกันว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี เพราะงั้นไม่ว่าจะมีตัวละครตายหรือเปล่าก็อยากจะให้ติดตามดูกันต่ออย่างใกล้ชิดครับ”
นอกจากเหตุการณ์อันตรายที่เหล่าตัวละครในซีรีส์จะต้องเผชิญหน้าในพาร์ตที่ 2 พี่น้องดัฟเฟอร์เผยว่าผู้ชมจะได้รู้เหตุผลว่าเหตุใดเวลาในโลกกลับด้านจึงยังคงหยุดนิ่งในวันที่วิล (Will) ซึ่งรับบทโดยโนอาห์ ชแนปป์ (Noah Schnapp) หายตัวไปในซีซันแรก พวกเดโมกอร์กอน (Demogorgon) และปีศาจตัวอื่นๆ มาจากไหน รวมถึงอาจจะได้รู้เกี่ยวกับเพศวิถี (Sexuality) จริงๆ ของวิล เพราะผู้ชมจำนวนมากสงสัยว่าวิลอาจจะเป็นเกย์และแอบชอบไมค์อยู่
แต่เหนือสิ่งอื่นใดแฟนๆ หลายคนให้ข้อสังเกตว่าในซีรีส์ซีซัน 4 พาร์ต 1 เรื่องราวเกิดขึ้นในวันที่ 22 มีนาคม ซึ่งจอยซ์ผู้เป็นแม่ของวิลเคยพูดไว้ในซีซันที่2 ว่าเป็นวันเกิดของวิล แต่ดูเหมือนจะไม่มีตัวละครตัวไหนเลยที่กล่าวถึงวันเกิดวิลขึ้นมาแม้แต่ตัววิลเอง และเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้สองพี่น้องดัฟเฟอร์ก็อึกอักก่อนจะสารภาพว่าอันที่จริงทุกคนรวมทั้งทีมผู้สร้างลืมว่าเป็นวันเกิดของวิลก็เลยไม่ได้กล่าวถึง
“ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือ ตัวละครในเรื่องรวมทั้งพวกเราก็ลืมวันเกิดของวิลด้วยครับ” แมตต์ ดัฟเฟอร์ (Matt Duffer) สารภาพและเผยว่าตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้ “ตอนนี้พวกเรากำลังหารือกันว่าจะทำยังไงระหว่างเปลี่ยนวันเกิดของวิล หรือเลยตามเลยว่าทุกคนในเรื่องลืมวันเกิดของวิลจริงๆ ซึ่งเป็นอะไรที่เศร้าพอสมควร”
“มันเป็นความผิดของพวกเราเองครับ ทั้งผมและรอสส์ความจำไม่ดี แต่เราก็รักวิลจริงๆ และไม่ได้ตั้งใจจะลืมวันเกิดของเขา เราเลยไม่อยากให้แฟนๆ มองว่าเราลืมเพราะเราไม่รักวิล!” แมทอธิบายต่อ “เรากำลังวางแผนว่าอาจจะเปลี่ยนวันเกิดของวิลให้เป็นวันที่ 22 พฤษภาคม (May 22) แทน 22 มีนาคม (March 22) แทน เพราะมันออกเสียงใกล้เคียงกัน”
“แต่นั่นก็จะแปลว่าจอยซ์ลืมวันเกิดของลูกชายตัวเองในซีซัน 2! ซึ่งนั่นก็ใจร้ายกับวิลอยู่ดีครับ” รอสส์ปิดท้ายและยอมรับผิดกับแฟนๆ แต่โดยดีเพราะเรื่องนี้นับเป็นข้อผิดพลาดและตกหล่นของทีมงานจริงๆ
สเตรนเจอร์ ธิงส์ ซีซัน 4 ถูกแบ่งเรื่องราวออกเป็น2พาร์ต โดยพาร์ตแรกที่เพิ่งจะเข้าสู่สตรีมมิ่งไปแล้วเมื่อวันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม ที่ผ่านมาจำนวนทั้งหมด 7 ตอนโดยมีความยาวรวมอยู่ที่ 9 ชั่วโมง ส่วนเนื้อหาในพาร์ตหลังอีก 2 ตอนจะมีความยาวรวมอยู่ที่ 2 ชั่วโมง 55 นาที และจะนำเสนอให้ได้ชมอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ 14.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย
ชม Stranger Things ทุกซีซันได้แล้ววันนี้บน Netflix พร้อมเสียงพากย์ภาษาไทย
CREDIT:
PHOTOS: COURTESY OF NETFLIX
อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจอื่นๆ ได้บน Padthai.co
- จับเข่าคุยกับ 4 หนุ่ม กุกฮอน แกงส้ม ตะแตม แดนนี่ อุ่นเครื่องความสนุกก่อนงานมีตแอนด์กรี๊ด Thailand Society Get Together with OGME Family x Kim KookHeon พร้อมเพลงพิเศษ ลอย (Cloud9) ที่กุกฮอน รับหน้าที่เขียนเนื้อภาษาเกาหลีเองกับมือ
- แฟนเจไดเตรียมตัวให้พร้อม! ศึกใหม่ของปรมาจารย์เจได การต่อสู้กับด้านมืด และความหวังที่ยังคงอยู่ Obi-Wan Kenobi เตรียมเข้าฉาย 27 พฤษภาคมนี้
- รีวิวหลังดูจบแบบไม่สปอยล์ : ค่ายรัสเซีย-ปีศาจตัวใหม่-ย้อนอดีตไปพร้อมกับแอล ใน Stranger Things 4 Part 1 ต้นกำเนิดของสารพันเรื่องราว เล่ายาวๆ 9 ชั่วโมงรวด
- ตารางงานแบบเบิ้มๆ ! อัพเดตตารางงานจาก BTS โปรเจกต์เพลงรีมิกซ์ My BTS Tracks / รายการวิทยุ BTS RADIO ทาง AppleMusic / ภาพชุดแรกจากอัลบั้ม Proof และการได้รับเชิญไปเยือนทำเนียบขาวเพื่อพบโจ ไบเดน
- It’s Not Easy to Be Blackpink : “มันไม่ง่ายเลยที่จะยืนตรงนี้!” 4สาวเปิดใจถึงเรื่องราวก่อนก่อนเดบิวต์ ความเจ็บป่วยทางใจ และการเตรียมตัวครั้งใหม่สำหรับคัมแบ็ค
