รีวิวหลังดูจบแบบไม่สปอยล์ : รสชาติใหม่ที่ Charlie Brooker ภูมิใจเสนอ เมื่อ Black Mirror Season 6 เล่าเรื่องนอกเหนือจากเทคโนโลยี
หลังจากห่างหายไปนานถึง 4 ปีเต็ม ในที่สุดซีรีส์ไซไฟ-เทคโนโลยีสุดดาร์คอันโด่งดังอย่าง Black Mirror กลับมาอีกครั้งในซีซันที่ 6 พร้อมด้วยซีรีส์มากถึง 5 ตอน โดยยังคงมี Charlie Brooker (ชาร์ลี บรูคเกอร์) ผู้สร้างซีรีส์ชุดนี้ควบคุมบทและเนื้อหาภาพยนตร์ขนาดสั้นทั้งหมด และแปลกใหม่กว่าเดิม โดยการปรับมุมมองและพลอตเรื่องให้ออกจากกรอบความเป็นซีรีส์เทคโนโลยีอย่างที่เคย
ที่ผ่านมาซีรีส์ชุด Black Mirror เปิดตัวในปีค.ศ. 2011 และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ในการเล่าเรื่องราวกึ่งดิสโทเปีย เสียดสีภัยร้ายของเทคโนโลยีและความก้าวหน้าเกินจินตนาการของโลกยุคใหม่ โดยเรื่องราวในซีรีส์จะมาในรูปแบบภาพยนตร์สั้นจบในตอน ความยาวประมาณหนึ่งชั่วโมง และเนื้อหาแยกจากกันโดยไม่ต่อเนื่องเกี่ยวข้องกัน
โดยมีเอกลักษณ์สำคัญที่เชื่อมโยงหนังสั้นทุกเรื่องไว้ด้วยกัน คือบทและพลอตเรื่องที่พาผู้ชมสำรวจลึกลงไปในด้านมืดของจิตใจมนุษย์ โดยเล่าถึงอารมณ์และความปรารถนาพื้นฐานของมนุษย์ที่ค่อยๆ ถูกทำให้ผิดเพี้ยนไปเพราะเทคโนโลยี โดยซีรีส์เรื่องนี้เคยได้รับรางวัล Primetime Emmy Award สาขาภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดเยี่ยมถึง 3 ครั้งติดต่อกันจาก
San Junipero (2016, Season3) ที่พูดถึงความรักของหญิงสาวสองคนในโลกจำลองที่สร้างจากเทคโนโลยี ที่สามารถอัปโหลดความทรงจำลงไปในเซอร์เวอร์ และสามารถมีชีวิตอยู่ในนั้นไปได้ตลอดกาล USS Callister (2017, Season 4) ที่พาผู้ชมผจญภัยไปกับเหล่าลูกเรืออวกาศภายใต้บังคับบัญชาของโปรแกรมเมอร์หนุ่มที่คัดลอกดีเอ็นเอพวกเขาจากชีวิตจริงและกักขังร่างเสมือนของพวกเขาไว้ในเกมอวกาศ
และ Bandersnatch (2019) ภาพยนตร์ Interactive ที่ผู้ชมสามารถเลือกเส้นทางให้กับสเตฟาน โปรแกรมเมอร์หนุ่มที่พยายามสร้างเกมทางเลือกขึ้น โดยนอกจากจะสามารถตัดสินใจเลือกทางเลือกที่แตกต่างกันให้กับตัวละครหลักได้แล้ว เรายังสามารถกำหนดตอนจบของตนเองได้ และสำรวจตอนจบอื่นๆ ที่ซ่อนอยู่ในทุกการตัดสินใจ ซึ่งนับเป็นหมุดหมายสำคัญของวงการภาพยนตร์ Interactive บนซีรีส์เลยทีเดียว
แต่ในซีซันล่าสุดบรูคเกอร์ตั้งใจอยากจะทำการรีเฟรชและ ‘รีเซ็ต’ เนื้อหาของซีรีส์ชุดนี้ โดยให้เหตุผลว่า นับตั้งแต่ซีรีส์เปิดตัวจนถึงปัจจุบันซึ่งกินระยะเวลาถึง 12 ปี มีรายการโทรทัศน์แนวไซไฟ-ดิสโทเปียใหม่ๆ เกิดขึ้นมากพอแล้ว เขาเลยอยากจะลองเล่าเน้นไปที่เรื่องราวชวนขนลุก และความสยองขวัญในอดีตที่เกิดขึ้นโดยไม่มีเทคโนโลยีเป็นธีมหลักแทน แม้สิ่งเหล่านั้นจะเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้แฟนๆ เทใจให้ซีรีส์ชุดนี้เสมอมาก็ตาม
การตัดสินใจรีเซ็ตนี้ของบรูคเกอร์ จึงอาจไม่ถูกใจแฟนๆ ขาประจำและคาดหวังกับความล้ำยุคเกินจินตนาการแบบภาคที่ผ่านๆ มา แต่กระนั้นเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเนื้อหาของซีซันนี้ทั้งหมดยังคงมีกลิ่นอายและพลอตเรื่องที่ชวนให้เราเกิดความรู้สึกที่หลากหลายและกระอักกระอ่วน (Disturbed) เหมือนกับเนื้อเรื่องภาคก่อนๆ ไม่ผิดเพี้ยน เพียงแค่ตัดทอนสัดส่วนความเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำไปเท่านั้นเอง
เอาเป็นว่าหากใครคิดถึงพลอตเทคโนโลยี น่าจะถูกใจ Joan Is Awful หรือ โจนคนแย่ ซึ่งเป็นตอนแรกของซีซันนี้ ที่ผู้ชมจะได้ร่วมระทึกไปกับเรื่องราวของโจน ซีอีโอสาวที่ชีวิตกลับตาลปัตรจากการที่เธอถูกแอปพลิเคชัน Streamberry สตรีมมิ่งเจ้าดัง นำเรื่องราวในชีวิตของเธอมาสร้างเป็นซีรีส์ให้คนทั่วโลกได้ดูโดยใช้ AI ทำให้ความลับและสิ่งไม่ดีที่เธอทำไว้ไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
โดยเนื้อเรื่องถูกเล่าในจังหวะที่ดูสนุก เป็นตลกร้ายที่เล่าในท่าทีชวนขันตามสไตล์ที่ทุกคนคุ้นเคย และดูจะผูกกับธีมเทคโนโลยีมากที่สุดในซีซันนี้ได้อย่างสนุกสนาน จนใครหลายๆ คนยกให้เป็นตอนที่ชอบที่สุดในซีซันใหม่
แต่ถ้าอยากจะเพิ่มระดับความตึงเครียดขึ้นก็ต้องเป็นตอนที่ 2 และ 3 ของซีซันอย่าง Loch Henry ที่เล่าเรื่องราวของคู่รักผู้กำกับที่กลับไปที่บ้านเกิดเพื่อพยายามทำสารคดีส่งประกวด และได้พบกับประเด็นน่าสนใจเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมเก่าแก่ของหมู่บ้าน ทำให้พวกเขาตัดสินใจขุดคุ้ยหาความจริงเพื่อสร้างสารคดี และค้นพบอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล และ Beyond the Sea ที่คงมีกลิ่นอายไซไฟบางๆ เล่าเรื่องราวของสองนักบินอวกาศในโลกคู่ขนาน ที่แม้จะปฏิบัติการอยู่บนอวกาศ แต่เทคโนโลยีสุดล้ำก็ทำให้เขาสามารถถอดจิตกลับมาใช้ชีวิตในร่างหุ่นยนต์กับครอบครัวบนโลกได้ แต่การเผชิญโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ก็พาให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาไม่เหมือนเดิม
โดยทั้งสองเรื่องมีโทนการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างอึดอัดและไม่ลืมที่จะแทรกการเสียดสีสังคมปัจจุบัน อย่างกรณีดราม่าของสารคดี The Jeffrey Dahmer Story และการพยายามสร้างภาพยนตร์สารคดีโดยไม่เห็นใจความรู้สึกของครอบครัวเหยื่อในเหตุการณ์จริงที่ถูกเอามาถ่ายทอดและเล่าในมุมกลับใน Loch Henry ผ่านบรรยากาศย้อนยุคที่ดูแล้วให้ความรู้สึกร่วมสมัย
ส่วนอีกสองตอนอย่าง Mazey Day ที่เล่าเรื่องของดาราดังที่ถูกปาปารัสซีแบล็คเมล์คดีชนแล้วหนีกับ Demon 79 ที่นำเสนอเรื่องราวของสาวอินเดียและแท่งไม้ปีศาจกับภารกิจปกป้องไม่ให้โลกแตก ก็ยังมีความระทึกใจและน่าติดตามแต่ดูเหมือนจะหลุดธีมหลักของซีรีส์ไปไกลที่สุด
CREDIT:
PHOTOS: COURTESY OF NETFLIX
อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจอื่นๆ ได้บน Padthai.co
- ชวนปักหมุด 20 งานน่าสนใจจาก 9 ย่านเศรษฐกิจทั่วกรุงเทพ ในเทศกาลแห่งการออกแบบสร้างสรรค์ Bangkok Design Week 2023 : urban NICE zation เมือง-มิตร-ดี ที่ชวนคุณมาทำความรู้จักเมืองในแง่มุมที่ต่างออกไป พร้อมย่านน้องใหม่อย่าง เกษตร และบางโพ
- ปีทองของจริง! รวบตึงผลรางวัล BRIT Awards 2023 หนุ่มตาหวาน Harry Styles และอัลบัม Harry’s House กวาด 4 รางวัลใหญ่กลับบ้าน พร้อมสปีชสุดตราตรึง ขออุทิศรางวัลให้ศิลปินหญิง หลังงานโดนตั้งคำถามเกี่ยวกับรายชื่อศิลปินเข้าชิงรางวัล British Artist of The Year ที่เป็นชายล้วน
- สู้หน่อยสาวออฟฟิศ! BSS : Second Wind ซิงเกิลอัลบัมเติมพลังบวกให้แฟนเพลง จากยูนิตสุดว้าว SEVENTEEN BSS ของ BOO SEUNGKWAN DK และ HOSHI แห่ง SEVENTEEN ภายใต้การโปรดิวซ์ของ Woozi
- รีวิวหลังดูจบแบบไม่สปอยล์ : สิ้นสุดการรอคอย AVATAR 2 : The Way of Water วิถีแห่งสายน้ำ การกลับมาของครอบครัวซัลลี ชนเผ่าเมทคายีน่า เหล่านาวีแห่งท้องทะเล และผลงานภาพสวยจับใจไม่เสียชื่อผู้กำกับระดับเทพ เจมส์ คาเมรอน ฟันรายได้ทั่วโลกวันแรก 553 ล้านบาท
- 2023 TRENDS & PREDICTIONS : Entertainment and Pop Culture เจาะเทรนด์โลก 2023 ไปกับ Padthai POP-CULTURE วงการสื่อจะไปในทิศทางไหน แล้วคอนเทนต์รูปแบบใดจะมาแรงในปี ค.ศ. 2023 ที่จะถึงนี้