Van Cleef & Arpels พาย้อนรอยมรดก “เครื่องประดับบอกเวลา” หรือ Jewels Telling Time บทสรุปแห่งความวิจิตรประณีตอย่างแท้จริง

Van Cleef & Arpels (แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์) พาย้อนรอยมรดก “เครื่องประดับบอกเวลา” หรือ Jewels Telling Time บทสรุปแห่งความวิจิตรประณีตอย่างแท้จริงนับจากปีค.ศ.1906 ที่ทางเมซงสรรค์สร้างเครื่องประดับและเครื่องบอกเวลา จัดนิทรรศการ Precious Jewels Telling Time ณ Les Jardins Secrets by Van Cleef & Arpels หรือ “สวนลับแห่ง Van Cleef & Arpels” ภายในอาเขตของ The Raffles Hotel Singapore (โรงแรมราฟเฟิล ประเทศสิงคโปร์) จัดขึ้นจนถึง 9 พฤศจิกายน ค.ศ.2025 ผู้สนใจแวะมาสัมผัสประวัติศาสตร์แห่งความเป็นเลิศของเมซง ผ่านบรรดาผลงานชิ้นสำคัญ จากการคัดเลือกมาอย่างพิถีพิถันจากคอลเลกชันผลงานมรดก หรือ Patrimonial Collection ของเมซงระหว่างทศวรรษ1920


ผลงานสร้างสรรค์หลายชิ้นของเมซง อาศัยรูปทรงเรขาคณิตผสานลวดลายอันละเมียดละไม ในการออกแบบตามวิถี Art Deco ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นแนวทางศิลปะ เป็นตัวแทนความทันสมัยที่มีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องตลอดทศวรรษ 1930 เผยลูกเล่นในสัดส่วนเชิงองค์ประกอบแบบศิลปะนามธรรม (abstract) บนเนื้อทองคำสีเหลือง รองรับงานฝังรัตนชาติลงร่องร่องรูปดาวอันโดดเด่น



นาฬิกาข้อมือที่เมซงสรรค์สร้างช่วงทศวรรษ 1950 คือหลักฐานยืนยันการกลับมาของเครื่องประดับเพชรน้ำบนตัวเรือนโลหะสีเงิน อย่างทองคำขาวและแพลทินัมหรือ White Jewelry ขณะที่ทองคำเหลืองใช้ในงานออกแบบ อิทธิพลจากโลกของแฟชั่นการแต่งกายผ่านรายละเอียดหรือ “โมทิฟ” จำลองแบบศิลปะการมัดปม ผูกเงื่อน โบว์ผ้าอัดพลีท รวมถึงฟั่นด้ายเป็นสายเกลียว อีกทั้งมีการพัฒนาเทคนิคแบบต่างๆ อย่างงานฝีมือขัดผิวขึ้นเงาราวกระจก งานถักด้ายทอง หรือลูกปัดทองร้อยสายเป็นขดเกลียวและเกลียวเปีย
เครื่องประดับบอกเวลาหลายต่อหลายชิ้นหาได้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แต่เล่าถึงเรื่องราวอันเกี่ยวกับกระแสความนิยม หรือแนวทางศิลปะในแต่ละยุคสมัย เป็นตัวแทนอัจฉริยภาพในการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของผลงานเลอค่า





เครื่องประดับหาได้ทำหน้าที่เพียงแค่บอกเวลาจากงานออกแบบ มอบความสะดวกในการใช้ประโยชน์เพียงพลิกกลับหันด้านหน้าปัดตัวเลขให้ปรากฏ คือการนำรูปแบบนาฬิกาแขวนเข็มกลัดปกเสื้อ ซึ่งเป็นเครื่องประดับยอดนิยมระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึง 18 มารังสรรค์ร่วมกับสายโซ่สำหรับร้อยตัวเรือนนาฬิกาพกกับเข็มขัด กำเนิดนวัตกรรมเครื่องประดับรูปแบบเข็มกลัด ซึ่งกำลังเป็นแฟชั่นระหว่างช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คือ lapel watch หรือ “เข็มกลัดปกเสื้อซ่อนเวลา” ประดิษฐกรรมล้ำสมัยจากเมซง เสริมความหรูหราให้แก่การแต่งตัว

Chinese Magician pocket watch หรือ นาฬิกาพก “นักเวทย์จีน” ถือเป็นผลงานเครื่องบอกเวลาชิ้นสำคัญในประวัติศาสตร์ คือความสำเร็จของเมซงเป็นตัวแทนแรงบันดาลใจจากบูรพาอารยะ เป็นการเริ่มนำระบบหุ่นกลมาใช้ในกระบวนการสร้างสรรค์
โดยตัวเรือนทรงกลมเป็นงานประกอบทองคำสีเหลืองกับโลหะทองผสมแบบโบราณชนิดหนึ่งซึ่งเรียกว่า osmior (ออสเมียร์) บนพื้นหน้าปัดคือประติมากรรมทองคำสีเหลืองหล่อแบบรูปนักบวชหรือนักเวทย์จีนนั่งขัดสมาธิอยู่บนฐานอาสนะ สวมเครื่องแต่งกายประดับลายดอกไม้ฝังหินไข่นกการเวกหรือเทอร์คอยซ์กับไพลินร่วมกับสร้อยคอยาวร้อยลูกประคำทับทิมกับมรกต ล้วนเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของเมซงในการนำรัตนชาติอันเลอค่าต่างสีมาใช้เล่าเรื่องราวได้อย่างลงตัว
ถ่ายทอดงานออกแบบแนวประติมานวิทยาแล้ว กลไก arms in the air หรือ‘วาดแขนบอกเวลา’ เผยลูกเล่นบุกเบิกระบบคู่เข็มย้อนกลับ (double retrograde) กับการใช้ตัวเลขรองรับระบบตีเข็มย้อนกลับ เปิดมิติให้กับแวดวงเครื่องบอกเวลาและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคอลเลกชันนาฬิกาข้อมือกลไกซ้อนระบบ Poetic Complications ในปัจจุบัน

สำหรับกำไลข้อมือซ่อนเวลาเรือนนี้ สะท้อนแรงบันดาลใจจากศิลปะการแต่งกายผ่านงานออกแบบรูปลักษณ์ “โบว์หูกระต่าย” ทวีความเลอค่าด้วยงานฝังไพลินตัดเฉดกับเพชรน้ำบนตัวเรือนกรอบหน้าปัดทองคำสีเหลืองกลมกลืนกับโครงสร้าง “ปล้องท้องงู” ของวงกำไล เทคนิคซึ่งนำมาใช้กับตัวเรือนทองคำสีเหลืองตั้งแต่ทศวรรษ 1930
แฟชั่นการแต่งกาย และศิลปะทางการตัดเย็บ ถือเป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจสำคัญทางการสร้างสรรค์ของเมซง ที่ระลึกถึงความสำคัญของปารีสในฐานะ “นครหลวงแห่งแฟชั่น” รังสรรค์คุณลักษณ์อันลื่นไหลไหวพลิ้วของผืนแพรพรรณสู่ทองคำ และโลหะเลอค่านานาชนิด สู่ผลงานสร้างสรรค์งามสง่า ผสานลูกเล่นรายละเอียดอ่อนช้อยจำลองแบบได้อย่างละเมียดละไม
สู่ธรรมเนียมการสร้างสรรค์เครื่องประดับซ่อนเวลา หรือ Secret Watch ของเมซงด้วยความแยบคายในการซ่อนหน้าปัด โดยผู้สวมใส่สามารถ “ลอบดูเวลา” ได้อย่างแยบยล ให้ทุกวินาทีเป็นความลับส่วนตัวอย่างแท้จริง

โครงสร้างใยตาข่ายยืดหยุ่นร้อยแผ่นทองคำสีเหลือง ทรงหกเหลี่ยมฝังเพชรเดี่ยวในร่องรูปดาวตรงศูนย์กลาง ถือเป็นเทคนิคการฝังอัญมณีขึ้นตัวเรือนเปล่งประกายระยิบระยับราวกับหมู่ดาวบนฟากฟ้าของเครื่องประดับ Ludo (ลูโด) นำมารังสรรค์เป็นสายคาดนาฬิกาข้อมือรองรับกรอบตัวเรือน ติดตั้งโมทิฟทองฝังเพชรทำหน้าที่เป็นฝาปิดซ่อนหน้าปัดบอกเวลารุ่นปีค.ศ.1947

หน้าปัดสร้อยข้อมือซ่อนเวลารุ่นปีค.ศ.1951 เผยงานฝังเพชรเรียงแถวเดี่ยวตลอดแนวกรอบหน้าปัดตอนบนและล่าง เสริมความโดดเด่นให้แก่ลายเกลียวของสายคาด สรรค์สร้างขึ้นจากการใช้เทคนิคฟั่นเกลียวเส้นทองคำสีเหลืองที่เมซงริเริ่มนำมาใช้เมื่อปีค.ศ.1946
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF VAN CLEEF & ARPELS