Van Cleef & Arpels เผยความสง่าของนาฏกรรมบนเรือนนาฬิการุ่น Lady Arpels Ballets
Van Cleef & Arpels (แวน คลีฟ แอนด์ อาร์เปลส์) เผยความสง่าของนาฏกรรมบนเรือนนาฬิการุ่น Lady Arpels Ballets เมซงได้นำการแสดงระบำปลายเท้าเรื่องคลาสสิกระหว่างศตวรรษที่ 19 สองเรื่องมารังสรรค์สู่นาฬิกาข้อมือสองรุ่น คือ นาฬิกาข้อมือเลดี้ อารเปลส์ The Nutcracker (เธอะ นัทแครกเกอร์) หรือ Lady Arpels Casse-Noisette (เลดี้ อารเปลส์ กาส-นัวแซ็ตต์) และนาฬิกาข้อมือเลดี้ อารเปลส์ “เจ้าหญิงนิทรา” หรือ Lady Arpels Belle au Bois Dormant (เลดี้ อารเปลส์ เบ็ล-โล บัวส์ ดอร์มองต์) ถ่ายทอดผ่านหน้าปัดในการจำลองเวทีการแสดงบัลเลต์สุดตระการตา ผ่านศิลปะย่อส่วนเป็นการสืบสานธรรมเนียมดั้งเดิมของเมซง ผสานนวัตกรรมและสรรค์สร้างพัฒนาเทคนิคลงยาอันเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน
ถ่ายทอดแนวคิดเอกลักษณ์ในการเป็นคอลเลกชัน Poetry of Time (บทกวีบอกเวลา) แห่ง Van Cleef & Arpels ผลงานแต่ละเรือนคือการหลอมรวมหัตถศิลป์ ความชำนาญด้านเครื่องประดับอัญมณีและไหวพริบในการพลิกแพลงเทคนิคทางการผลิตนาฬิกาข้อมือที่จุดประกายความฝันอันอยู่เหนือความคาดหมายถึงมุมมองชีวิตแสนสุนทรีย์
ความผูกพันระหว่าง Van Cleef & Arpels กับระบำปลายเท้าหรือบัลเลต์นั้น มีเรื่องราวสืบย้อนอย่างยาวนานถึงทศวรรษ 1920 ในกรุงปารีส Louis Arpels (ลูอิส อารเปลส์) รักและชื่นชมการแสดงศิลปะแขนงนี้เป็นอย่างยิ่ง สู่การรังสรรค์เข็มกลัดนางระบำ Ballerina (บัลเลรินา) รุ่นแรกเมื่อต้นทศวรรษ 1940 สู่ผลงานสัญลักษณ์ประจำเมซง ที่มีท่วงท่าเสมือนจริงและออกแบบการแต่งกายเข็มกลัดนางระบำได้อย่างสวยงาม มอบความวิจิตรตระการจากงานฝังเพชร หรือรงคศิลาหลากสีสัน เต็มไปด้วยความอ่อนช้อย ให้ความรู้สึกถึงลีลาพลิ้วไหว สะท้อนโลกแห่งนาฏกรรมสู่งานสรรค์สร้างเครื่องประดับชั้นสูง และนาฬิกาข้อมือของเมซง ก่อกำเนิดเป็นผลงานอันหลายหลาก ซึ่งผลงานบางรุ่น ได้รับการออกแบบ สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อยกย่องบัลเลต์คลาสสิก ผ่านนาฬิกาข้อมือกล่องดนตรี Lady Arpels Ballerines Musicales (เลดี้ อารเปลส์ บัลเลรีนส์ มูสิกาลส์) เช่นเดียวกับบางรุ่น คือที่ระลึกถึงนักแสดงระบำปลายเท้าผู้โด่งดังระดับตำนานอย่างอันนา ปาฟโลวา เป็นที่มาของแรงบันดาลใจในการรังสรรค์นาฬิกาข้อมือ Lady Arpels Ballerine Enchantée (เลดี้ อารเปลส์ บัลเลรีน็องชองเต) เมื่อปีค.ศ. 2013
นาฏกรรมคือศิลปะแขนงหนึ่ง ซึ่งถ่ายทอดความวิจิตรบรรจงในท่วงท่า ลีลาอ่อนช้อยและจังหวะอันลงตัวของการเคลื่อนไหวสรรค์สร้างความเป็นเลิศของงานนาฏกรรม สร้างแรงบันดาลใจให้ Van Cleef & Arpels มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ ผลงานเครื่องบอกเวลาคอลเลกชัน Extraordinary Dials ล้วนได้รับการออกแบบ เพื่อถ่ายทอดจินตนาการ สู่การจุดประกายจินตนาการผ่านความเหนือชั้นทางงานหัตถศิลป์แขนงต่างๆ เข้าด้วยกันอย่างประณีต
ยกระดับเครื่องบอกเวลาไปสู่ผลงานศิลปะและความเป็นเลิศในเชิงหัตถศิลป์งานฝีมือ มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการก่อกำเนิดความวิจิตรบรรจงดุจบทกวีพรรณนาเรื่องราวอันงดงามมาประดับไว้บนข้อมือ ขับเคลื่อนวิวัฒนาการ การพัฒนาทักษะความชำนาญหลากแขนงอย่างต่อเนื่อง ในการสืบทอดเทคนิค และกรรมวิธีตามธรรมเนียมดั้งเดิมแล้ว เมซงสรรค์สร้างความโดดเด่นด้วยการพัฒนาเทคนิคลงยา shaped enamel (งานลงยาขึ้นรูปสามมิติ) คือประติมากรรมขนาดจิ๋วด้วยกรอบทรงโครงสัณฐานคมชัด จดสิทธิบัตรคุ้มครองไว้เมื่อปีค.ศ. 2023 และอีกหนึ่งเทคนิคคือ sealed enamel (งานผนึกลงยา) ซึ่งอาศัยความชำนาญจากประสบการณ์อันเชี่ยวชาญในหัตถศิลป์แขนงนี้ วัสดุลงยาที่พร้อมขึ้นรูปสองชิ้นจะถูกนำมาประกบต่อเข้าด้วยกันผ่านกระบวนการหลอมรวมด้วยความแม่นยำทางการปรับระดับอุณหภูมิ นำมาซึ่งรายละเอียดลายนูนตกแต่ง ผสานความลงตัวเชิงเทคนิค และแบบฉบับทางการออกแบบ ร่วมกันเล่าเรื่องราวอยู่บนหน้าปัดนาฬิกาอย่างแยบยล
Lady Arpels Casse-Noisette
Casse-Noisette (กาส-นัวแซ็ตต์) หรือ The Nutcracker (เดอะ นัทแครกเกอร์) เป็นบัลเลต์ความยาวสององก์ ผลงานของ Pyotr Ilyich Tchaikovsky (ปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี) จัดแสดงรอบปฐมทัศน์ขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1892 ดำเนินเรื่องราวอันดัดแปลงมาจากเทพนิยายเยอรมันเรื่อง The Nutcracker and The Mouse King ของ E. T. A. Hoffmann (อี.ที.เอ ฮอฟมานน์) นักประพันธ์โรแมนติกนิยมผู้เปี่ยมพรสวรรค์ โดยมี Marius Petipa (มาริอุส เปติปา) เป็นผู้ออกแบบท่าเต้น ซึ่งออกแบบไปตามท่วงทำนองอันเต็มไปด้วยสีสัน ถ่ายทอดผ่านลูกเล่นสรรพสีสู่หน้าปัดจำลอง วงหน้าฝังเพชรเหลี่ยมกุหลาบของสาวน้อยคลาราตัวเอกกับเจ้าชายผู้ถูกสาปให้เป็นคีมกะเทาะเปลือกลูกนัท และเครื่องแต่งกายตกแต่งด้วยงานจิตรกรรมย่อส่วนผสานรายละเอียดความเป็นลิศทางทักษะหัตถศิลป์แขนงต่างๆ เข้ากับศิลปะเครื่องประดับอัญมณี กลมกลืนกับท่วงท่าการเคลื่อนไหวดุจมีชีวิต
ตัวเรือนทองคำขาวขนาด 41 มิลลิเมตร ฝังเพชรลูกทรงกลม กรอบหน้าปัดทองคำขาว และเม็ดมะยมฝังเพชรลูกทรงกลม หน้าปัดทองคำขาวประกอบทองคำสีกุหลาบรองรับงานฝังไพลินหลากสี ทุรมาลีหรือทัวร์มาลีนสีน้ำเงิน เพชร ซูกิไลต์หรือหินซูกิ นิลกาฬหรือออนิกซ์ พลอยน้ำสมุทรหรือลาพิซลาซูลิ งานลงยาลายฉลุ งานลงยาร่องลาย งานผนึกลงยาและลงยาขึ้นรูปนูนต่ำ ลูกปัดลงยาและจิตรกรรมย่อส่วน กลไกขับเคลื่อนระบบไขลานด้วยมือ แหล่งพลังงานสำรองก่อนหยุดเดิน 40 ชั่วโมง ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพียงสามเรือนเท่านั้น ซึ่งแต่ละเรือนมีหมายเลขกำกับรุ่น
เครื่องบอกเวลาเรือนนี้ โดดเด่นด้วยลูกเล่นสรรพสีอันแตกต่างถึง 70 เฉดร่วมกับความสลับซับซ้อนทางเนื้อสัมผัสและเทคนิคงานลงยา คือผลงานสร้างสรรค์อันมีความครบครัน และทันสมัยอย่างที่สุดของเมซง เผยความสลับซับซ้อนบนหน้าปัดประกอบขึ้นจากการจัดสัดส่วนระหว่างน้ำหนักเชิงสัณฐาน และความลึกเชิงมิติ เพื่อถ่ายทอดรายละเอียดแง่มุมต่างๆ ของฉากการแสดงระบำปลายเท้าสุดตระการตา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลีลาเจิดจรัสร่ายระบำแห่งมวลรัตนชาติ และรงคศิลาเลอค่าจากเพชร ไพลินหลากสี ทุรมาลีสีน้ำเงิน นิลกาฬ หินซูกิและพลอยน้ำสมุทร เพื่อร่วมกันจุดประกายความฝันอย่างวิจิตรบรรจง ผ่านงานลูกปัดลงยาเสมือน “ลูกกวาด” หลากสี ฝังไว้ในแผ่นลงยาขึ้นรูปประกบทับซ้อนเป็นประติมากรรมวงแหวนนูนต่ำสีตัดร่วมกับงานผนึกลงยา เป็นการหลอมรวมเทคนิคลงยาถึงสามรูปแบบเข้าด้วยกันจากการริเริ่มแนวคิดโดย Van Cleef & Arpels เรื่องราวบนหน้าปัดยังต่อเนื่องไปสู่ทองคำขาวฝาหลังรองรับงานฝีมือสลักลายเนินหิมะประดับสนใบแหลมต้นสูงเติมเต็มบรรยากาศเทพนิยาย
Lady Arpels Belle Au Bois Dormant
La Belle au bois Dormant (เบ็ล-โล บัวส์ ดอร์มองต์) หรือ ระบำปลายเท้า “เจ้าหญิงนิทรา” หรือ เป็นผลงานการออกแบบท่าเต้นโดยมาริอัส เปติปา เรียบเรียงดนตรีโดย Pyotr Ilyich Tchaikovsky (ปิออตร์ อิลิช ไชคอฟสกี) เปิดการแสดงครั้งแรกขึ้นในกรุงเซนต์ ปีเตอร์สเบิร์กเมื่อปีค.ศ. 1890 และก้าวสู่ตำแหน่งเพชรยอดมงกุฎของการแสดงบัลเลต์คลาสสิกนับจากนั้น เรื่องราวของเจ้าหญิงออโรรา ผู้ต้องคำสาปจากนางฟ้าคาราโบสให้หลับใหลไปตราบนิรันดร์จนกว่าจะได้รับจุมพิตจากชายผู้รักจริง ลงบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือรุ่นนี้ผ่านลีลาของเจ้าหญิงในชุดกระโปรงผ้าโปร่งบาง tutu วงหน้าฝังเพชรเหลี่ยมกุหลาบยามพบกับเจ้าชายในฝันผู้มาปลดปล่อยเธอให้พ้นจากมนต์คำสาป ผ่านความละเอียดอ่อนทางงานจิตรกรรมย่อส่วนในการสร้างสรรค์ ท่ามกลางลายเถาวัลย์ arabesque (อาราเบสก์) อันอ่อยช้อย เจ้าหญิงผู้ฟื้นตื่นจากนิทรา โน้มกายรับจุมพิตแห่งรักโดยมีฉากหลังเป็นปราสาททองคำสีกุหลาบสลักลายหัตถศิลป์ ภายใต้วงล้อมขดริบบินทองคำขาวประดับเพชรสลับงานลงยาร่องลาย หรือ champlevé (ชองเปลเว) สีชมพูละมุนดุจกำมะหยี่ กลมกลืนกับเฉดสีของงานลงยาลายฉลุหรือ Plique-à-jour (ปลิ-กา-ฌูร) เป็นแถบเส้นรัศมีตะวัน สาดส่องก่อมิติความลึกให้ชิ้นงานอย่างสมบูรณ์แบบ
ตัวเรือนทองคำสีกุหลาบขนาด 41 มิลลิเมตร ฝังเพชรลูกทรงกลม กรอบหน้าปัดทองคำสีกุหลาบ และเม็ดมะยมฝังเพชรลูกทรงกลม หน้าปัดทองคำสีกุหลาบประกอบทองคำขาว และทองคำเฉดเหลืองรองรับงานประดับไพลินหลากสี ทับทิมมรกต โกเมนสีส้มสเปซซาไทต์ เพชร งานลงยาลายฉลุ งานลงยาร่องลาย งานลงยาลายนูน งานลงยาขึ้นรูปสามมิติ และงานลงยาลายระยับ กับจิตรกรรมย่อส่วน กลไกขับเคลื่อนระบบไขลานด้วยมือ แหล่งพลังงานสำรองก่อนหยุดเดิน 40 ชั่วโมง ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นเพียงสามเรือนเท่านั้น แต่ละเรือนมีหมายเลขกำกับรุ่น
มวลดอกไลแล็กผลิบานด้วยงานลงยาลายนูน หรือ vallonné (วาลลงเน) สลับประกายเจิดจรัสของไพลินอยู่บนกิ่งก้านเสมือนจริงจากการใช้เทคนิคลงยาขึ้นรูปสามมิติ (shaped enamel) ซึ่งพัฒนาขึ้น และจดสิทธิบัตรคุ้มครองโดยเมซง ผสานความสง่างามในการใช้รัตนชาติถึงหกชนิด ได้แก่ทับทิม ไพลินสีม่วง เพชร ไพลินสีเหลือง โกเมนสีส้มสเปซซาไทต์และมรกต ต่างนางฟ้าอาทรร่วมกันคุ้มครองเจ้าหญิงผู้เป็นที่รัก ความต่อเนื่องของเรื่องราวดำเนินไปสู่ทองคำสีกุหลาบฝาหลังรองรับงานฝีมือสลักลายเป็นท่วงท่าของนักเต้นท่ามกลางธรรมชาติ ซึ่งทุกรายละเอียดสะท้อนไหวพริบในการพลิกแพลงทักษะงานสลักของช่างฝีมือเป็นสำคัญ
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF VAN CLEEF & ARPELS