นาฬิกาสองเวอร์ชันจากวัสดุที่ให้รูปลักษณ์อันแตกต่างระหว่างเยลโลว์โกลด์ 18K หรือเงิน 925 จนกลายเป็นตัวเลือกที่ต้องยอมรับว่ายากจะตัดสินใจได้
อย่างที่น่าจะพอผ่านสายตากันมาบ้างแล้ว กับนาฬิกาสองรุ่นใหม่จากตระกูล Black Bay Fifty-Eight ที่ ทิวดอร์ (TUDOR) เปิดตัวในปีนี้ โดยเฉพาะความโดดเด่นและแตกต่างของสองทางเลือกที่ยากจะตัดสินใจได้ ระหว่างรุ่นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ 18K ของ Black Bay Fifty-Eight 18K และรุ่นตัวเรือนเงิน 925 ของ Black Bay Fifty-Eight 925 ซึ่งทั้งคู่มีขนาดตัวเรือนเท่ากันคือ 39.0 มิลลิเมตร และยังเป็นนาฬิกาดำน้ำที่ติดตั้งด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ Manufacture Calibre MT5400 เดียวกัน พร้อมทั้งครั้งแรกกับฝาหลังเปลือยใสด้วยกระจกแซฟไฟร์สำหรับคอลเลกชันนาฬิกาดำน้ำของแบรนด์
Big Crown
ย้อนกลับไปในปีค.ศ. 1958 ที่นาฬิกาสำหรับนักดำน้ำรุ่นแรกซึ่งสามารถกันน้ำได้ลึก 200 เมตร หรือ 660 ฟุต ของ TUDOR ได้เปิดตัวขึ้นใน reference 7924 หรือฉายาที่รู้จักกันมากกว่าว่า “Big Crown” อันเป็นที่มาของชื่อคอลเลกชัน ที่หมายถึงปี ’58 ของการเปิดตัวเป็นครั้งแรกนี้เอง โดยนับตั้งแต่เปิดตัว นาฬิกาดำน้ำรุ่นนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ไม่เฉพาะเพียงในหมู่นักดำน้ำมืออาชีพ แต่ด้วยงานออกแบบและสัดส่วนที่สวยงามลงตัว จึงทำให้นาฬิการุ่นนี้ รวมถึงทายาทรุ่นต่อๆ มาของคอลเลกชัน กลายเป็นนาฬิกาสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้คนมาแล้วหลายยุคสมัย
นอกจากนี้ Black Bay Fifty-Eight ยังถูกออกแบบด้วยรูปลักษณ์ที่ลงตัวกับสัดส่วนตัวเรือน โดยรุ่นดั้งเดิมนั้นมีตัวเรือนขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 39.0 มิลลิเมตร ซึ่งถือเป็นขนาดนาฬิกาในอุดมคติสำหรับยุค 1950s ที่เหมาะกับแทบทุกขนาดข้อมือ รวมถึงเป็นตัวแทนของนาฬิกาขนาดกะทัดรัดที่ได้อารมณ์ของความวินเทจร่วมสมัยไปด้วยในตัว ด้วยเหตุนี้ นาฬิการุ่นหลังๆ ของ Black Bay Fifty-Eight จึงพยายามที่จะหวนคืนกลับสู่ความเป็นต้นตำรับดั้งเดิม เช่นในรุ่นใหม่ของปีค.ศ. 2021
ซึ่งทั้ง Black Bay Fifty-Eight 18K และ Black Bay Fifty-Eight 925 แม้จะมีบุคลิกต่างกันจากการรังสรรค์ขึ้นจากสองวัสดุใหม่สำหรับคอลเลกชันนี้ทั้งคู่ แต่ก็ยังคงผสานไว้ด้วยความลงตัวและสไตล์ดั้งเดิมของตระกูล โดยเฉพาะสัดส่วนตัวเรือน 39.0 มิลลิเมตร แต่แตกต่างด้วยองค์ประกอบและวัสดุที่นำมาใช้ได้อย่างสวยเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละรุ่นอยู่มากทีเดียว รวมถึงการขับเคลื่อนด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติคาลิเบอร์เดียวกัน นั่นคือ Manufacture Calibre MT5400 ทำงานความถี่ 4 เฮิรตซ์ หรือ 28,800 ครั้ง/ชั่วโมง ที่คงมาตรฐานความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ โดยผ่านประกาศนียรับรอง COSC ติดตั้งด้วยแฮร์สปริงซิลิคอน พร้อมทั้งสำรองพลังงานได้ 70 ชั่วโมง โดยเปิดโชว์ให้เห็นการทำงานของกลไกและระบบโรเตอร์ขึ้นลานสองทิศทางผ่านฝาหลังกระจกแซฟไฟร์ ซึ่งคู่นี้ยังมีประสิทธิภาพของการกันนำ้ได้ลึกระดับ 200 เมตร
ขณะที่รายละเอียดบนหน้าปัดได้ถอดต้นแบบมาจากตำนานแห่ง Black Bay รวมไปถึงเอกลักษณ์เด่นๆ อย่าง เข็มชี้ทรง “Snowflake” หนึ่งในสัญลักษณ์ของนาฬิกาดำน้ำ TUDOR ที่ปรากฏตัวครั้งแรกในปีค.ศ. 1969 พร้อมทั้งเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนวา โดยมอบทั้งความชัดเจนในการแสดงเวลาและมิติแห่งความสง่างามร่วมสมัย เม็ดมะยมแบบหมุนเกลียวล็อกบรรจุไว้ด้วยสัญลักษณ์รูปกุหลาบนูน และการรับประกันทันทีห้าปีเต็มโดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนและสามารถโอนย้ายได้ ซึ่งครอบคลุมนาฬิกาทุกเรือนที่จำหน่ายหลังจากวันที่ 1 มกราคม 2020 โดยแบรนด์แนะนำให้นำนาฬิกาเข้ารับการดูแลทุกๆ ประมาณ 10 ปี ขึ้นอยู่กับรุ่นและลักษณะการใช้งานของแต่ละบุคคล
ส่วนเสน่ห์ที่ต่างกันระหว่างสองรุ่นนี้ ต้องยกให้กับทั้งวัสดุและโทนสีหน้าปัด ซึ่งในรุ่น Black Bay Fifty-Eight 18K รังสรรค์ตัวเรือนขึ้นจากวัสดุล้ำค่าอย่างเยลโลว์โกลด์ 18K ตกแต่งด้วยงานขัดซาตินแบบด้าน มอบมิติที่แตกต่างไปจากรุ่นดั้งเดิมหรืองานขัดตามประเพณีทั่วไปของนาฬิกาเรือนทอง และยังนับเป็นครั้งแรกสำหรับนาฬิกาดำน้ำของ TUDOR ที่ทำจากเยลโลว์โกลด์ด้วยเช่นกัน
พร้อมทั้งขอบตัวเรือนปรับหมุนได้ทิศทางเดียวทำจากเยลโลว์โกลด์ บรรจุสเกล 60 นาที บนดิสก์อโนไดซ์อลูมิเนียมสีเขียวด้าน และเครื่องหมายบอกเวลา รวมถึงตัวเลขสีทอง ลงตัวเข้ากับหน้าปัดโค้งโดมสีเขียว “golden green” และเครื่องหมายบอกชั่วโมงล้อมกรอบด้วยเยลโลว์โกลด์ 18K ประกอบกระจกแซฟไฟร์บนหน้าปัดแบบโค้งโดมเช่นกัน อ่านค่าได้อย่างชัดเจนด้วยเข็มชี้ชั่วโมง นาที และวินาที รวมทั้งระบบหยุดวินาทีสำหรับปรับตั้งเวลาได้อย่างแม่นยำ
จับคู่มากับสายหนังจระเข้สีน้ำตาลเข้มและหัวเข็มขัดเยลโลว์โกลด์ 18K และสายเส้นที่สองทำจากผ้า แจ๊คการ์ด (Jacquard) สีเขียวเข้ม ตกแต่งแถบกลางสายสีทอง และหัวเข็มขัดเยลโลว์โกลด์ 18K ที่ส่งมอบมาพร้อมกับนาฬิกา
ขณะที่รุ่น Black Bay Fifty-Eight 925 สวยสง่าด้วยตัวเรือนทำจากเงิน 925 ตกแต่งด้วยงานขัดซาตินแบบด้าน พร้อมทั้งหน้าปัดสีเทา (taupe) แบบด้านโค้งโดม รับกับขอบตัวเรือนปรับหมุนได้ทิศทางเดียวทำจากเงิน 925 บรรจุสเกล 60 นาที และรายละเอียดการแสดงเวลาสีเงิน รวมถึงเข็มชี้ทรง “Snowflake” บนหน้าปัด ปกป้องด้วยกระจกแซฟไฟร์โค้งโดมเช่นกัน ติดตั้งเข็มชี้และเครื่องหมายบอกชั่วโมงเคลือบสารเรืองแสง และตัวเลือกของสายหนังสีน้ำตาลเกรน หรือสายผ้า Jacquard สีเทา (taupe) แต่งแถบกลางสายสีเงิน ประกอบหัวเข็มขัดทำจากเงิน 925 ซึ่งการใช้เงิน 925 มารังสรรค์นาฬิกาดำน้ำของ TUDOR นี้ถือเป็นครั้งแรก และเป็นการผสมผสานเข้ากับคุณสมบัติ รวมถึงภาพลักษณ์อันโดดเด่นสไตล์นาฬิกาดำน้ำของ Black Bay Fifty-Eight ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งผ่านการขัดซาตินที่มอบมิติแบบด้านและความแวววาวได้อย่างแตกต่าง โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนข้อมือที่มอบทั้งสัมผัสของความสง่างาม ความแข็งแกร่งทนทานในฐานะนาฬิกาอุปกรณ์สมรรถนะสูงตามตำนาน และความล้ำค่าของวัสดุ ขณะที่ฝาหลังติดตั้งด้วยกระจกแซฟไฟร์เปลือยใส เผยให้เห็นการทำงานของกลไกภายในเหมือนกับในรุ่น 18K
นาฬิกาดำน้ำรุ่นใหม่จากสองวัสดุล้ำค่าที่นับเป็นครั้งแรกของ Black Bay Fifty-Eight นี้ถือเป็นการตอกย้ำได้ดีถึงตำนานการสร้างสรรค์นาฬิกาสไตล์อุปกรณ์สำหรับนักดำน้ำมืออาชีพที่แบรนด์ริเริ่มผลิตขึ้นนับตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม นับจาก reference 7922 ในปีค.ศ. 1954 ที่เป็นนาฬิกากันน้ำได้ลึก 100 เมตร และตามมาด้วย reference 7924 ในปีค.ศ. 1958 ซึ่งนับเป็นต้นกำเนิดของ Black Bay Fifty-Eight ด้วยคุณสมบัติที่ผ่านวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่องกว่าหกทศวรรษ และเป็นส่วนหนึ่งของชื่อเสียงและเส้นทางความสำเร็จของ TUDOR ในแวดวงนาฬิกาสำหรับมืออาชีพจวบจนวันนี้
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF TUDOR
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
Music: www.bensound.com
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่