รวมไว้ให้แล้ว กับไฮไลต์นาฬิกาใหม่รุ่นท็อปที่มาร่วมสร้างสีสันให้กับงาน Geneva Watch Days 2021
ในงาน Geneva Watch Days 2021 ที่เพิ่งจัดขึ้นไปเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม – 3 กันยายน 2021 ถือเป็นการปูพรมแดงให้กับการเผยโฉมนาฬิการุ่นใหม่ล่าสุดจากบรรดาแบรนด์ผู้ผลิตชั้นนำที่เข้าร่วมในงานนี้ นับจาก 8 แบรนด์ผู้ร่วมก่อตั้งการจัดงาน ได้แก่ Breitling, BVLGARI, De Bethune, Girard-Perregaux, MB&F, H. Moser & Cie., Ulysse Nardin และ Urwerk ตลอดจนเหล่าแบรนด์พันธมิตรที่เข้าสมทบร่วมกันจัดงานขึ้นรอบเมืองเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ รวมแล้วในปีนี้มีแบรนด์ที่เข้าร่วมงานถึง 23 แบรนด์ และนี่คือไฮไลต์นาฬิการุ่นใหม่เพียงบางส่วนที่เปิดตัวสดๆ ร้อนๆ จาก Geneva Watch Days 2021
Breitling Top Time Classic Cars Capsule Collection
นาฬิกา Capsule Collection พิเศษที่ได้แรงบันดาลใจและอุทิศให้กับสปอร์ตคาร์คลาสสิกยุค 1960s โดยถอดต้นแบบของทั้งงานดีไซน์และจิตวิญญาณแห่งนวัตกรรมยานยนต์ระดับตำนานทั้ง 3 คัน อันได้แก่ Chevrolet Corvette, Ford Mustang และ Shelby Cobra ที่เรียกได้ว่าเป็น 3 ไอคอนแห่งวัฒนธรรมอเมริกันคาร์ ซึ่งนาฬิกาทั้ง 3 รุ่นนี้ ล้วนออกแบบขึ้นด้วยรหัสสีและรายละเอียดเฉพาะตัวของรถแต่ละคันได้อย่างสมบูรณ์ แต่ละรุ่นยังมาพร้อมตัวเรือนสเตนเลสสตีล ประทับด้วยโลโก้สัญลักษณ์ของรถแต่ละคันบนหน้าปัด รวมถึงการแกะสลักไว้บนฝาหลังนาฬิกา ทั้งหมดประกอบคู่มากับสายหนังวัวเจาะรูสไตล์เรซิ่ง
BVLGARI Octo Roma Central Tourbillon Papillon
ผลงานสลับซับซ้อนของจักรกลทูร์บิญอง (tourbillon) ซึ่งบรรจุอยู่กลางหน้าปัด พร้อมทั้งการแสดงเวลาด้วยเข็มชี้อิสระสองเข็มด้วยรูปทรงพิเศษที่เคลื่อนที่ไปตามสเกลนาที 180 องศา และหมุนถอยกลับในตำแหน่งพักได้เพื่อทำหน้าที่สลับกัน โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการโบยบินของผีเสื้อ จนกลายมาเป็นผลงานการสร้างสรรค์จักรกลสลับซับซ้อนที่ได้รับการจดสิทธิบัตรด้วยชื่อเรียกเฉพาะว่า Papillon patent มาพร้อมด้วยการแสดงเวลา 24 ชั่วโมง แบบจัมปิ้งอาวร์ (jumping hour) และครั้งนี้ยังเป็นการหลอมรวมเข้ากับเอกลักษณ์ความสง่างามของตัวเรือน Octo Roma ทำจากโรสโกลด์ พร้อมทั้งแสดงพลังงานสำรอง 60 ชั่วโมง บนด้านหลังของนาฬิกา
De Bethune DB25 Starry Varius GMT
เปิดตัวพร้อมกับกลไก in-house ชุดที่ 29 ของแบรนด์ และฟังก์ชั่น GMT ที่ผสมผสานเป็นครั้งแรกในนาฬิการุ่นสัญลักษณ์นี้ หลังจากที่เคยเปิดตัวแนะนำ DB25 World Traveller มาแล้วในปีค.ศ. 2016 โดยยังคงเอกลักษณ์ของโครงสร้างหน้าปัดมีมิติ ถ่ายทอดเป็นภาพของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวและงดงามด้วยทางช้างเผือกหรือ Milky Way แสดงวันที่ด้วยเข็มแบบจัมปิ้ง พร้อมตัวปรับตั้งที่ 6 นาฬิกา แสดงเวลา 24 ชั่วโมง รวมถึงแสดงกลางวัน-กลางคืนแบบสามมิติผ่านรูปทรงกลมเล็กๆ ซึ่งค่อยๆ หมุนและเผยครึ่งวงกลมหนึ่งเป็นสีน้ำเงินและอีกครึ่งเป็นสีพิงค์โกลด์ตัวแทนของแต่ละช่วงเวลา ผนวกรวมไว้ในตัวเรือนไทเทเนียม เกรด 5 ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.0 มิลลิเมตร ที่มีองค์ประกอบของหูตัวเรือนเชื่อมสายแบบฉลุโปร่ง และฝาหลังติดตั้งด้วยกระจกคริสตัลแซฟไฟร์โชว์การทำงานของกลไกจักรกลภายใน
Girard-Perregaux Tourbillon with Three Flying Bridges
ฉลองครบรอบ 230 ปี ของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวนาฬิกาทูร์บิญอง (tourbillon) สลับซับซ้อนพร้อมเอกลักษณ์ของสามสะพานจักรหรือ Neo Bridges บนด้านหน้าปัดที่ทำจากพิงค์โกลด์ล้ำค่าเป็นครั้งแรก พร้อมทั้งเคลือบตกแต่ง PVD สีดำ ส่วนด้านหลังทำจากไทเทเนียมเคลือบสีดำ และดูราวกับลอยอยู่กลางตัวเรือน นอกจากนี้ยังทำหน้าที่เป็นแท่นเครื่องให้กับกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ ส่วนทูร์บิญองจัดวางไว้บนฐานด้านล่างของหน้าปัด พร้อมกรงรูปทรงพิณซึ่งเป็นงานออกแบบต้นตำรับนับจากศตวรรษที่ 19 ของแบรนด์ โดยทำจากวัสดุล้ำสมัยยิ่งขึ้นคือไทเทเนียม เกรด 5 สำหรับรุ่นซับซ้อนนี้ประกอบด้วยกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทรงกล่องทั้งบนด้านหน้าปัดและฝาหลัง ในตัวเรือนโรสโกลด์ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 44.0 มิลลิเมตร และสำรองพลังงานได้ 60 ชั่วโมง
Greubel Forsey GMT Earth
ทายาทรุ่นที่สามของการตีความจาก GMT Earth นาฬิการุ่นนวัตกรรมของแบรนด์ ซึ่งในรุ่นใหม่ที่มาพร้อมตัวเรือนไทเทเนียม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 45.50 มิลลิเมตร พร้อมงานตกแต่งสีดำเข้มขรึมนี้จะผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 11 เรือน ประกอบด้วยรูปโลกแกะสลักเลเซอร์สำหรับแสดง Universal Time และกลางวัน-กลางคืนที่สามารถอ่านค่าได้ง่ายดายและรวดเร็ว พร้อมทั้งการแสดงเวลา GMT และทูร์บิญอง (tourbillon) หมุนรอบ 24 วินาที โดยการทำงานของกลไกจักรกลไขลานด้วยมือ ความถี่ 3 เฮิรตซ์ สำรองพลังงานได้ 72 ชั่วโมง ทั้งยังกันน้ำได้ลึก 30 เมตร
H. Moser & Cie. Streamliner Perpetual Calendar
เปิดตัวสมาชิกรุ่นใหม่ล่าสุดของคอลเลกชั่น Streamliner ที่เพิ่งแนะนำเป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 2020 โดยในรุ่นใหม่นี้มาพร้อมชัยชนะทางเทคนิคของการบรรจุด้วยจักรกลปฏิทินถาวร (perpetual calendar) อ่านค่าเวลาได้ง่ายดายผ่านสี่เข็มชี้กลางหน้าปัด รวมถึงการแสดงวันที่ขนาดใหญ่ผ่านช่องหน้าต่างและระบบเปลี่ยนวันที่อย่างฉับพลันที่เรียกว่า “Flash Calendar” ทั้งยังสามารถปรับตั้งเดินหน้าและถอยหลังได้ทุกเวลา ส่วนบนด้านหลังของนาฬิกายังบรรจุไว้ด้วยการแสดงปีอธิกสุรทิน (leap year) มองเห็นได้ผ่านกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ บรรจุในตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.3 มิลลิเมตร และสายแบบผสานทำจากสเตนเลสสตีล คู่หน้าปัด Blackor fumé กันน้ำได้ลึก 120 เมตร
Louis Erard Excellence Régulateur
เป็นอีกครั้งที่แบรนด์นำเสนอการผสมผสานระหว่างงานดีไซน์ร่วมสมัยเข้ากับความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์นาฬิกาไฮเอนด์และศิลปะงานฝีมือ โดยทั้งสามรุ่นใหม่นี้มาพร้อมหน้าปัดทำจากหินสีและมินอรัลกลาส ทั้ง Aventurine, Lapis-Lazuli และ Malachite ผลิตในจำนวนจำกัดเพียงหน้าปัดละ 99 เรือน และแต่ละหน้าปัดยังล้วนมีเอกลักษณ์ลวดลายที่แตกต่างกันไป รวมถึงเสน่ห์ดึงดูดสายตาสำหรับบรรดาคนรักนาฬิกา ด้วยการแสดงเวลาแบบเรกูเลเตอร์ ทั้งการแสดงชั่วโมงและวินาทีบนสองหน้าปัดย่อยสีเงินโอปอลีน และแสดงนาทีด้วยเข็มชี้กลาง ประกอบภายในตัวเรือนสเตนเลสสตีล ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.0 มิลลิเมตร และการขับเคลื่อนของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ สำรองพลังงานได้ 38 ชั่วโมง ลงตัวเข้ากับสายหนังวัวสีเดียวกันกับแต่ละเวอร์ชั่นหน้าปัด
Maurice Lacroix AIKON Urban Tribe
ได้แรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในสมาชิกของ ML Crew อย่าง Simon Noguiera ผู้เชี่ยวชาญด้านกีฬา freerunning หรือ Parkour ท่ามกลางฉากของมหานครที่รายล้อมไปด้วยตึกสูงและสถาปัตยกรรมอันล้ำสมัย นำมาสู่เทคนิคการตกแต่งตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.0 มิลลิเมตร และสายนาฬิกาทำจากสเตนเลสสตีลแกะสลักลวดลายทันสมัยสไตล์เออร์เบิน พร้อมทั้งหน้าปัดตกแต่งลาย Clous de Paris บรรจุด้วยเข็มชี้ชั่วโมงและนาทีเรืองแสง และเข็มวินาทีแบบเรียวยาว แสดงวันที่ผ่านช่องหน้าต่าง โดยการขับเคลื่อนของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ ML115 calibre ที่ผ่านการตกแต่งด้วยงานขัดและลวดลายก้นหอยอย่างประณีต สำหรับรุ่นนี้ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 500 เรือนเท่านั้น
MB&F x L’Epée 1839 Orb
ผลิตผลจากความร่วมมือระหว่าง MB&F และ L’Epée 1839 ผู้โด่งดังในฐานะนักสร้างสรรค์เครื่องบอกเวลาจักรกล โดยเฉพาะรายหลังที่มีชื่อเสียงด้านนาฬิกาจักรกลตั้งโต๊ะระดับตำนาน โดยนาฬิกาตั้งโต๊ะหรือประดับตกแต่งภายในบ้านและที่ทำงานได้อย่าง Orb นี้ถือเป็นการตีความใหม่ของทั้งคู่ ที่นำมาสู่รูปลักษณ์อันล้ำสมัยซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากอุปกรณ์ไฮเทคของยุค และยังคงความมหัศจรรย์ของจักรกลตีระฆังบอกชั่วโมง (hour-striking) ที่รังสรรค์ขึ้นอย่างสวยงามโดย L’Epée 1839 มอบพลังงานสำรองได้ถึงแปดวัน และขาดไม่ได้คือการเปลี่ยนโฉมได้อย่างหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบกางปีกทั้งสี่ด้านออกเพื่อโชว์ให้เห็นกลไก หรือหุบปีกทั้งหมดลงกลายเป็นรูปทรงกลมเรียบง่ายทันสมัย ดูคล้ายกับ iPods ล้ำยุค Orb นี้ยังมีให้เลือกในเวอร์ชั่นบอร์ดี้สีขาวหรือสีดำ ผลิตจำนวนจำกัดเพียงเวอร์ชั่นละ 50 เรือน
Oris Aquis Date Upcycle
สานต่อภารกิจ Change for the Better ของแบรนด์ และร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ #tide ที่นำมาสู่การเปิดตัวนาฬิกาสร้างสรรค์จากขยะรีไซเคิลจากท้องทะเลรุ่นล่าสุดใน Aquis Date Upcycle นาฬิกาดำน้ำสมรรถนะสูง มาพร้อมหน้าปัดโดดเด่นเต็มไปด้วยลวดลายและสีสันที่ได้มาจากขยะพลาสติก PET รีไซเคิล ซึ่งรุ่นนี้บรรจุในตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 41.5 มิลลิเมตร และ 36.5 มิลลิเมตร ทำจากสเตนเลสสตีล คู่ขอบตัวเรือนปรับหมุนได้ทิศทางเดียวสำหรับนักดำน้ำ แทรกไว้ด้วยเซรามิกสีเทาบรรจุสเกลนาทีและกันรอยขีดข่วนได้ดีเยี่ยม ประกอบมากับสายสเตนเลสสตีลพร้อมทั้งระบบตัวพับล็อกสายปรับขยายได้ ภายในติดตั้งกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ และส่งมอบมากับกล่องนาฬิกาทำจากกระดาษรีไซเคิลได้
Parmigiani Fleurier Tonda PF Split Seconds Chronograph
ฉลองครบรอบ 25 ปี ของแบรนด์ด้วยการเปิดตัวคอลเลกชั่นใหม่ในชื่อ Tonda PF รวมถึงต้อนรับสมาชิกนาฬิการุ่นแรกๆ ของคอลเลกชั่น หนึ่งในนั้นคือรุ่นไฮไลต์อย่าง Split Seconds Chronograph ซึ่งผลิตในแบบซีรีส์จำนวนจำกัดเพียง 25 เรือน เพื่อร่วมฉลอง 25 ปี โดยมาพร้อมการจับเวลาแบบ split seconds chronograph ผ่านสองเข็มจับเวลาอิสระ ที่ผสมผสานเข้ากับงานดีไซน์ใหม่ได้อย่างกลมกลืน พร้อมทั้งความพิเศษล้ำค่าของตัวเรือน หน้าปัด ตลอดจนถึงสายสร้อยข้อมือทำจากแพลทินัม 950 ผ่านการตกแต่งอย่างประณีต ทำงานด้วยกลไกจักรกลความถี่สูงเวอร์ชั่นใหม่ใน Caliber PF361 ซึ่งมีทั้งแท่นเครื่องและสะพานจักรทำจากโรสโกลด์ 18 กะรัต ชื่นชมได้ผ่านฝาหลังกระจกคริสตัลแซฟไฟร์
Ulysse Nardin Marine Torpilleur Tourbillon Grand Feu
ไฮไลต์จากคอลเลกชั่น Marine Torpilleur ที่รังสรรค์ขึ้นพิเศษเพื่อร่วมฉลองครบรอบ 175 ปี ของแบรนด์ รวมถึงถ่ายทอดประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์นาฬิกา Chronometry มาอย่างยาวนานนับจากปีค.ศ. 1846 ของการก่อตั้ง ซึ่งแต่ละรุ่นภายในซีรีส์นี้ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดพิเศษ เช่นกันกับรุ่นทูร์บิญอง (tourbillon) นี้ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 175 เรือน มาพร้อมความสง่างามของตัวเรือนโรสโกลด์ ประกอบฝาหลังกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ใส ขอบตัวเรือนแบบเซาะร่อง และหน้าปัดลงยา Grand Feu สีดำรังสรรค์โดย Donzé Cadrans เจาะช่องเปิดโชว์ความซับซ้อนและสวยงามของจักรกลทูร์บิญองที่ 6 นาฬิกา และแสดงพลังงานสำรองที่ 12 นาฬิกา โดยการขับเคลื่อนของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ caliber UN-128 Constant ซึ่งเป็นกลไก UN Constant Escapement Tourbillon จดสิทธิบัตรที่เคยร่วมคว้ารางวัลสาขา Tourbillon Watch Prize จากงาน GPHG ปีค.ศ. 2015 มาแล้ว
Urwerk UR-100 Electrum
รังสรรค์จากวัสดุล้ำค่า Electrum ที่เป็นโลหะผสมยอดนิยมในอดีตกาล โดยนำมาประดิษฐ์เป็นนาฬิการุ่นใหม่จากคอลเลกชั่น UR-100 และมีจำนวนจำกัดเพียง 25 เรือนเท่านั้น กับตัวเรือนซึ่งทำจากโลหะผสมทองและแพลลาเดียม จึงให้เฉดสีเหลืองทองอร่ามราวกับรัศมีแห่งแสงอาทิตย์ พร้อมทั้งงานตกแต่งพื้นผิวแบบขัดด้านซาตินอย่างประณีต ช่วยเติมมิติและความลุ่มลึกให้กับนาฬิกา ทั้งยังตัดกับการแสดงเวลาแบบ satellite บรรจุไว้ด้วยสารเรืองแสงเพื่อการอ่านค่าได้อย่างชัดเจนแม้ในสภาวะแสงน้อย ภายใต้กระจกคริสตัลแซฟไฟร์โค้งโดมบนหน้าปัดติดตั้งไว้ด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ URWERK Calibre 12.01 ความถี่ 4 เฮิรตซ์ สำรองพลังงานได้ 48 ชั่วโมง
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF THE BRANDS
MUSIC: Carnivale Intrigue by Kevin MacLeod is licensed under a Creative Commons Attribution 4.0 license. https://creativecommons.org/licenses/by/4.0/
Source: http://incompetech.com/music/royalty-free/index.html?isrc=USUAN1500028Artist: http://incompetech.com/
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่