ในวาระครบรอบ 60 ปีของนาฬิกา Cosmograph Daytona ทาง Rolex จึงมุ่งมั่นที่จะสานต่อจิตวิญญาณแห่งผ่านการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์นี้้ ด้วยการปรับรายละเอียดของการออกแบบทั้งในส่วนของตัวเรือน และหน้าปัด
The New Rolex Cosmograph Daytona Rolex (โรเล็กซ์) ได้เปิดตัวคอลเลกชันเรือนเวลาที่ออกแบบขึ้นเพื่อตอบสนองการใช้งานของนักแข่งรถมืออาชีพในชื่อว่า Cosmograph Daytona (คอสโมกราฟ เดย์โทนา) ในปี 1963 โดยประกอบด้วยคุณลักษณะเด่นๆ ได้แก่ ขอบตัวเรือนระบุสเกลวัดระยะ รวมถึงการทำงานของกลไกจักรกลสมรรถนะสูงที่พัฒนาและผลิตขึ้นโดย Rolex ทุกขั้นตอน
เรือนเวลาโครโนกราฟในตำนานรุ่นนี้้ ถือเป็นอุปกรณ์ทางเลือกสำหรับใช้ในการวัดช่วงเวลาและกำหนดความเร็วเฉลี่ยที่เชื่อมโยงกับกีฬาแข่งรถอย่างแยกไม่ออก ในวาระครบรอบ 60 ปีของนาฬิกา Cosmograph Daytona ทาง Rolex จึงมุ่งมั่นที่จะสานต่อจิตวิญญาณแห่งผ่านการพัฒนากลุ่มผลิตภัณฑ์นี้้ ด้วยการปรับรายละเอียดของการออกแบบทั้งในส่วนของตัวเรือน และหน้าปัด ให้มีความร่วมสมัย รวมถึงการนำเสนอกลไกการทำงานเครื่องใหม่เพื่อการใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับรูปลักษณ์ที่ได้รับการปรับปรุงล่าสุดของ Cosmograph Daytona ยังคงมีรูปแบบตามการดีไซน์ของ Daytona ที่ทุกคนคุ้นตา ด้วยตัวเรือนทรง Oyster พร้อมกับเส้นสายที่มีความเพรียวขึ้นและมีความโค้งมนขึ้น ในขนาด 40.0 มิลลิเมตร หนา 11.90 มิลลิเมตร และมีระยะห่างระหว่างหูสายที่ 20.0 มิลลิเมตร ติดตั้งไว้ด้วยเม็ดมะยมและปุ่มกดแบบขัดเกลียว มอบประสิทธิภาพการกันน้ำได้ลึกถึง 100 เมตร
ในบรรดาเวอร์ชันต่างๆ ของ Cosmograph Daytona ใหม่ ประกอบด้วยรุ่นตัวเรือนที่ผลิตจากแพลทินัม 950 ที่แฟนๆ คุ้นหน้าคุ้นตากันจากหน้าปัดสีฟ้าไอซ์บลููนั้น ติดตั้งมาพร้อมกับขอบตัวเรือน Cerachrom แบบหล่อชิ้นเดียวด้วยเซรามิกสีน้ำตาลเชสต์นัท รุ่นตัวเรือน Oystersteel ขอบตัวเรือน Cerachrom สีดำ และ รุ่นตัวเรือน Oystersteel ขอบตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ มาพร้อมหน้าปัดเคลือบเงาสีขาว รุ่นตัวเรือนเยลโลว์โกลด์ขอบตัวเรือน Cerachrom สีดำ คู่พื้นหน้าปัดสีทองอร่าม และรุ่นตัวเรือนและขอบตัวเรือนเอเวอโรสโกลด์ คู่กับพื้นหน้าปัดสีดำ ทุกรุ่นมาพร้อมเข็มนาฬิกาทองคำ และเคลือบด้วยสารเรืองแสง Chromalight (โครมาไลท์) บนเข็มชั่วโมงและนาที รายละเอียดของดีไซน์หน้าปัดได้มีการปรับให้วงหน้าปัดย่อยมีสีสันที่ตัดกันอย่างชัดเจนกับพื้นหน้าปัดหลัก มาร์กเกอร์แสดงเวลามีรูปทรงที่เพรียวบางลงเรียกได้ว่ามีรายละเอียดที่แลดูหรูหรามากยิ่งขึ้น
Cosmograph Daytona ปี 2023 นี้มาพร้อมกลไกที่ได้รับการพัฒนา นั่นคือ Cal. 4131 อันเป็นกลไกโครโนกราฟอัตโนมัติที่มีพื้นฐานมาจากกลไก Cal. 4130 สำหรับกลไกเครื่องใหม่นี้จะประกอบด้วยระบบปล่อยจักรแบบ Chronergy (โครเนอร์จี)เทคโนโลยีอันเป็นสิทธิบัตรของ Rolex ควบคุมระบบจับเวลาด้วยคอลัมน์วีลและคลัตช์แนวดิ่ง ระบบออสซิลเลเตอร์ประกอบด้วยแฮร์สปริง Parachrome (พาราโครม) สีน้ำเงินที่ต้านแรงดึงดูดจากสนามแม่เหล็ก โอเวอร์คอยล์ น็อต Microstella (ไมโครสเตลลา) ทอง 4 ตัวเพื่อให้ควบคุมความแม่นยำได้สูงสุด สะพานจักรกรอกแบบเคลื่อนที่่ได้ และตัวดูดซับแรงกระแทก Paraflex (พาราเฟล็กซ์) ประสิทธิภาพสูงคงความถี่ในการทำงานที่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง ติดทับทิมกันสึก 47 ชิ้น และสะสมพลังงานได้นาน 72 ชั่วโมง
ในส่วนของโรเตอร์ได้มีการออกแบบใหม่รวมถึงการตกแต่งอย่างประณีต เช่นเดียวกับสะพานจักรที่ได้รับการสลักเสลาลวดลาย Rolex Côtes de Genève (โรเล็กซ์ โคท์ส เดอ เณอแนฟ) อันเป็นลวดลายเฉพาะที่มีความแตกต่างจากลวดลาย Côtes de Genève ทั่วไป ทั้งนี้เฉพาะรุ่นแพลตตินัมจะเผยให้เห็นโรเตอร์ทองคำผ่านฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์โปร่งใส และเหนือสิ่งอื่นใด กลไก Cal. 4131 ผ่านการรับรองประสิทธิภาพความเที่ยงตรงในระดับ Superlative Chronometer (ซุปเปอร์เลทีฟ โครโนมิเตอร์) ที่มีค่าความเที่ยงตรงอยู่ที่ −2 /+2 วินาทีต่อวัน
Cosmograph Daytona ทุกรุ่นจับคู่มากับสายแบบ Oyster ข้อต่อแข็งสามชิ้น พร้อมชุดตัวล็อกนิรภัย Oysterlock (ออยสเตอร์ล็อค) แบบพับได้ และระบบขยายความยาวสายได้ด้วยระบบ Easylink (อีซี่ลิงค์) ที่เพิ่มความยาวได้มากขึ้นอีก 5.0 มิลลิเมตร เว้นแต่เพียงรุ่นตัวเรือนทอง 18 กะรัตที่เลือกจับคู่กับสาย Oysterflex (ออยสเตอร์ เฟล็กซ์) ล็อกสายด้วยระบบ Oysterlock และระบบขยายสาย Rolex Glidelock (โรเล็กซ์ ไกลด์ล็อค) ที่สามารถเพิ่มความยาวได้อีกประมาณ 15.0 มิลลิเมตร
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF ROLEX
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่