ไอคอนนาฬิกาความถี่สูงได้หวนคืนกลับมาอีกครั้งใน Longines Ultra-Chron ทายาทรุ่นใหม่จาก Longines
Longines: Ultra-Chron Diver 2022 ต้นตำนานของการสร้างสรรค์นาฬิกาความถี่สูงเรือนใหม่นี้ มีที่มาจากในปี ค.ศ. 1968 เมื่อ Longines (ลองจินส์) เปิดตัวแนะนำ Ultra-Chron Diver นาฬิกาดำน้ำเรือนแรกที่ติดตั้งด้วยกลไกความถี่สูง และ ณ เวลานั้นเอง ที่ Longines ได้กลายเป็นแบรนด์บุกเบิกด้านเทคโนโลยีความถี่สูง อันเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาต่อยอดในเวลาต่อมา โดยแบรนด์พร้อมสัญลักษณ์นาฬิกาทรายติดปีกนี้ได้สร้างสรรค์อุปกรณ์เครื่องบอกเวลาความถี่สูงขึ้นครั้งแรกด้วยระดับ 1/10th ต่อวินาทีในช่วงต้นปี ค.ศ. 1914 และเป็นในปี ค.ศ. 1959 ที่ Longines ได้พัฒนากลไกความถี่สูงขึ้นครั้งแรกสำหรับนาฬิกาข้อมือ พร้อมทั้งความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ที่ได้สร้างสถิติใหม่มากมายในแง่ของความเที่ยงตรง
ด้วยความเชี่ยวชาญในการประดิษฐ์นาฬิกาอันยาวนาน Longines ได้สวมบทบาทหลักในการบุกเบิกความก้าวหน้าล้ำสมัยทางเทคโนโลยีมาแล้วมากมาย และยังคงเดินหน้าแสดงซึ่งความทุ่มเทในการพัฒนานวัตกรรมเหล่านี้ เช่นเดียวกับการสร้างสรรค์นาฬิกาความถี่สูงด้วยประสบการณ์กว่า 100 ปี กับกลไกความถี่สูงระดับ 1/10th และ 1/100th ต่อวินาที นับจากการพัฒนานาฬิกาที่ติดตั้งด้วยกลไกความถี่สูง 5 เฮิรตซ์ และเข็มสปลิท-เซคกัน(split-second) ขึ้นในปี ค.ศ. 1914 หรือนาฬิกาความถี่สูง 50 เฮิรตซ์ ระดับ 1/100th ต่อวินาทีในปี ค.ศ. 1916 ตามมาด้วยนาฬิกาสำหรับจับเวลาการแข่งสกีความถี่สูง 5 เฮิรตซ์ และเข็มสปลิท-เซคกันด์ ในปี ค.ศ. 1938 ตลอดจนนาฬิกาโครโนกราฟสปลิท-เซคกันด์ ความถี่สูงสำหรับการใช้งานทางวิชาชีพต่างๆ ในปี ค.ศ. 1957
เปิดตัวของกลไก Calibre 360 กลไกทรงสี่เหลี่ยมที่พัฒนาปรับปรุงระดับความแม่นยำมาแล้ว
จวบจนในปี ค.ศ. 1959 นาฬิกาข้อมือความถี่สูงระดับ Observatory Chronometer เรือนแรกจึงได้เปิดตัวขึ้น พร้อมทั้งการเปิดตัวของกลไก Calibre 360 กลไกทรงสี่เหลี่ยมที่พัฒนาปรับปรุงระดับความแม่นยำมาแล้ว กับการทำงานด้วยความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง โดยการรังสรรค์ขึ้นด้วยมือและปรับตั้งละเอียดสำหรับร่วมประกวด Observatory Chronometer Competitions ก่อนคว้ารางวัลอันดับหนึ่งและอันดับสองในการประกวดความเที่ยงตรงแม่นยำ ณ Observatory of Neuchâtel ในปี ค.ศ. 1961 และในปีถัดมากับการคว้ารางวัลอันดับหนึ่ง อันดับสอง และอันดับสาม โดยมีค่าความแปรผันอยู่ที่ราวๆ หรือน้อยกว่า 1/10th ต่อวินาที ตัวแทนสำหรับก้าวสำคัญทางเทคนิคนี้ผลิตขึ้นเป็นซีรีส์เพียง 200 เรือน นับจากปี ค.ศ. 1959 ถึงปี ค.ศ. 1963 และตามมาด้วยในปี ค.ศ. 1966 กับการเปิดตัวของ Ultra-Chron นาฬิกาข้อมือความถี่สูงอันเที่ยงตรง และ Ultra-Chron Diver ในปี ค.ศ. 1968 นาฬิกาดำน้ำความถี่สูงเรือนแรก ซึ่งมาพร้อมเข็มนาทีสีแดงเด่น และคุณสมบัติของการกันน้ำได้ลึกระดับ 200 เมตร โดยการทำงานของกลไก Calibre 431
จากต้นกำเนิดของรุ่นปี ค.ศ. 1968 ในวันนี้ได้กลายมาเป็นต้นแบบให้กับนาฬิการุ่นใหม่ของ Longines Ultra-Chron ที่ได้แรงบันดาลใจทั้งจากรหัสความสวยงามและคุณสมบัติของการเป็นนาฬิกาดำน้ำสำหรับมืออาชีพของรุ่นดั้งเดิม โดยมาพร้อมทั้งการผสานด้วยขอบตัวเรือนปรับหมุนได้ทิศทางเดียว เช่นเดียวกับฝาหลังและเม็ดมะยมแบบขันเกลียว มอบคุณสมบัติของความสามารถในการมองเห็นได้อย่างชัดเจน และกันน้ำได้ลึกถึงระดับ 30 บาร์ หรือ 300 เมตร
ติดตั้งภายในตัวเรือนทรงเหลี่ยมมนหรือคุชชัน (cushion-shaped) ที่สามารถจดจำได้ทันที โดยทำจากสเตนเลสสตีลที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 43.0 มิลลิเมตร ประกอบด้วยขอบตัวเรือนสำหรับดำน้ำที่มาพร้อมการแทรกแซฟไฟร์และรายละเอียดของสารเรืองแสง โดดเด่นสะดุดตาด้วยหน้าปัดสีดำตกแต่งแบบเกรน พร้อมทั้งสเกลนาทีสีขาว สลับกับเครื่องหมายทรงบาตอง (batons) เคลือบด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova® และเครื่องหมายบอกเวลาแบบนำมาติดชุบโรเดียม โดยโลโก้ Ultra-Chron ดั้งเดิมได้ถูกนำมาใช้บนหน้าปัด และประทับนูนไว้บนฝาหลัง สำหรับรุ่นใหม่นี้ ยังมาพร้อมเข็มนาทีสีแดงเฉพาะ และเช่นเดียวกับเข็มชั่วโมง ที่เคลือบด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova® สำหรับมอบการอ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจนสูงสุด
ณ หัวใจของ Longines Ultra-Chron คือการทำงานของกลไก Calibre L836.6 กลไกผลิตในโรงงานของตนเองที่มีความถี่สูง ด้วยบาลานซ์สปริงขับเคลื่อนที่ความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง หรือ 5 เฮิรตซ์ หรือ 10 ครั้งในทุกๆ วินาที โดยกลไกเหล่านี้ ซึ่ง Longines เป็นผู้บุกเบิกสร้างสรรค์ขึ้นนับจากปี ค.ศ. 1914 เป็นต้นมานั้น Longines ได้เลือกผลิตและใช้กลไกความถี่สูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านความแม่นยำของนาฬิกา ซึ่งส่วนหนึ่งยังเป็นผลลัพธ์มาจากการลดผลกระทบจากแรงสะเทือน หรือการเปลี่ยนตำแหน่งต่างๆ ของกลไก ที่ทำให้กลไกความถี่สูงนั้นพิสูจน์มาแล้วถึงความเสถียรและแม่นยำที่ดียิ่งกว่า
ความเที่ยงตรงของ Longines Ultra-Chron ยังผ่านการรับรองโดยประกาศนียบัตร “Ultra-Chronometer” อย่างเป็นทางการโดย TIMELAB ห้องปฏิบัติการทดลองและทดสอบอิสระในเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยประกาศนียบัตรนี้รับรองถึงระดับความเที่ยงตรงที่เหนือกว่าประกาศนียบัตร “โครโนมิเตอร์” ทั่วไป ซึ่งจำเป็นต้องผ่านกระบวนการทดสอบเพื่อรับประกาศนียบัตร “Ultra-Chronometer” อันเข้มข้นทั้งต่อตัวเรือนนาฬิกา และผลลัพธ์ของนาฬิกาทั้งเรือน ภายใต้ระยะเวลาการทดสอบถึง 15 วัน โดยในระหว่างนี้ นาฬิกาจะต้องผ่านชุดการทดสอบต่างๆ ณ สามอุณหภูมิต่างกัน คือ ที่ 8 องศาเซลเซียส, 23 องศาเซลเซียส และ 38 องศาเซลเซียส เพื่อเป็นการยืนยันว่านาฬิกาเรือนนั้นๆ สามารถผ่านเกณฑ์การทดสอบอันเข้มข้นได้ (มาตรฐาน ISO 3159:2009)
สำหรับนาฬิการุ่นใหม่ของวันนี้ ยังมาพร้อมตัวเลือกของทั้งสายหนัง หรือสายสเตนเลสสตีล และส่งมอบมากับกล่องบรรจุพิเศษ ที่ภายในมาพร้อมสาย NATO รังสรรค์จากวัสดุรีไซเคิล โดย Longines Ultra-Chron ได้ร่วมย้ำเตือนถึงตำนานอันน่าเกรงขามของการเป็นนาฬิกาดำน้ำสมรรถนะและความถี่สูง ที่กลายเป็นดั่งไอคอนเรือนเวลาที่แสดงออกถึงหนึ่งในนวัตกรรมอันก้าวล้ำยุคท่ามกลางประวัติศาสตร์ของการประดิษฐ์นาฬิกา พร้อมทั้งการเป็นนาฬิกาคุณสมบัติโดดเด่นที่ชนะใจผู้คนที่หลงใหลในนาฬิกาเที่ยงตรงแม่นยำสูง โดยนักบุกเบิกแห่งยุคที่ยังคงสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการนาฬิกาโลกเสมอมาอย่าง Longines
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF LONGINES
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่
