ภายใต้การนำของ CEO คนใหม่ Matthias Breschan (แมทเทียส เบรสชาน) ที่เข้ารับตำแหน่งนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2020 ซึ่งนั่นทำให้ทิศทางของแบรนด์ในปีนี้ยิ่งน่าติดตามว่า จะเติบโตต่อไปในทิศทางใดและนี่คือ นาฬิกาลองจินส์ 5 รุ่นใหม่ ที่น่าจับตามอง
1. Longines Silver Arrow
Longines Novelties 2021 (ลองจินส์ โนเวลทีส์ 2021) เรียกว่าเป็นการชุบชีวิตนาฬิการุ่นประวัติศาสตร์จากยุค 1950s ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รถแข่ง และเครื่องบิน Supersonic (ซุปเปอร์โซนิก) กำลังได้รับความนิยมถึงขีดสุด รวมถึงเกิดเรื่องราวการผจญภัยอันน่าตื่นเต้นขึ้นมากมาย เช่นเดียวกับเหตุการณ์สำคัญสำหรับ ลองจินส์ (Longines) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 1955 เมื่อแบรนด์ได้จัดแข่งขันภายในองค์กรเพื่อตั้งชื่อให้กับนาฬิการุ่นใหม่ที่มีดีไซน์ล้ำสมัย โดยหนึ่งในจำนวน 450 ชื่อที่ถูกเสนอเข้ามานั้นก็คือ “Silver Arrow” (ซิลเวอร์ แอร์โรว์) ที่สอดคล้องกับชื่อของรถสปอร์ตและรถแข่งรุ่นดังของยุคนั้น ต่อมาในปีค.ศ. 1956 นาฬิกา Silver Arrow จึงถูกผลิตโดยโรงงานลองจินส์ และเปิดตัวสู่สาธารณชนครั้งแรก โดยได้นำเอาสัญลักษณ์รูปเครื่องบิน Supersonic ที่กำลังบินผ่านดวงดาวมาใช้ โดยมีความหมายถึงการเชื่อมโยงระหว่างโลกกีฬาแข่งรถและโลกแห่งการบิน ทำให้ Longines ก้าวมาเป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นของทั้งสองวงการ
โดยใน Longines Silver Arrow รุ่นใหม่ของปีนี้ยังคงได้แรงบันดาลใจมาจากผลงานรุ่นดั้งเดิมในอดีต และเป็นหนึ่งในสมาชิกของคอลเลกชั่น Heritage พร้อมการขับเคลื่อนของกลไกจักรกลอัตโนมัติ Calibre L888.5 ติดตั้งด้วยซิลิคอนบาลานซ์สปริง ที่ยกระดับทั้งความเที่ยงตรงแม่นยำ พร้อมประสิทธิภาพของการป้องกันสนามแม่เหล็ก รวมถึงการรับประกันที่ยาวนาน 5 ปี กับความสง่างามของรูปลักษณ์ ที่ในรุ่นใหม่นี้บรรจุภายในตัวเรือนสเตนเลสสตีล ขนาด 38.5 มิลลิเมตร คู่หน้าปัดสีเงินโอปอล ไร้ช่องหน้าต่างแสดงวันที่และไม่มีคำว่า “Automatic” บนหน้าปัดตรงตามต้นฉบับของรุ่นดั้งเดิม รวมถึงตกแต่งเครื่องหมายขีดบอกเวลาลายเส้นเหมือนกับเวอร์ชั่นเดิม ส่วนเข็มชี้ทรงดาบแบบกว้างปลายแหลมเคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนวา (Super-LumiNova®) มาพร้อมสายหนังเนื้อนุ่มสีน้ำตาลแบบด้าน สวมใส่สบายข้อมือ และให้อารมณ์ความวินเทจไปพร้อมกัน
2. The Longines Avigation BigEye
นาฬิกาโครโนกราฟดีไซน์ย้อนสู่ยุค 1930s ที่พร้อมสดุดีให้กับโลกแห่งการบินอันรุ่งโรจน์และนักบุกเบิกทางการบินผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต ซึ่ง Longines เชื่อมโยงกับโลกแห่งการบินมานับตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 มาพร้อมด้วยเอกลักษณ์ของหน้าปัดขนาดใหญ่ รวมถึงหน้าปัดย่อยจับเวลา 30 นาที ขนาดโอเวอร์ไซส์ที่กลายมาเป็นฉายาว่า BigEye ในรุ่นใหม่นี้ได้ตีความความโดดเด่นสู่ตัวเรือนไทเทเนียม ขนาด 41.0 มิลลิเมตร พร้อมทั้งหน้าปัดสีน้ำเงิน petrol บรรจุหน้าปัดย่อยแสดงวินาทีและแสดงการจับเวลา 12 ชั่วโมง รวมถึงที่ขาดไม่ได้คือหน้าปัดย่อยจับเวลา 30 นาที แบบโอเวอร์ไซส์ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา ภายใต้งานออกแบบของหน้าปัดขนาดใหญ่เพื่อให้ง่ายในการอ่านค่าเวลา และตกแต่งเข็มชี้พ่นทรายสีดำ รวมถึงตัวเลขอารบิกเคลือบสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนวา ปกป้องด้วยกระจกแซฟไฟร์ทรงกล่องเคลือบกันแสงสะท้อน และฝาหลังแบบทึบแกะสลักด้วยรูปสัญลักษณ์เครื่องบิน ประกอบลงตัวเข้ากับสายหนังสีน้ำตาลธรรมชาติสไตล์วินเทจร่วมสมัย
ในฐานะนาฬิกาสำหรับนักบิน ความเที่ยงตรงแม่นยำจึงต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ซึ่งรุ่นใหม่นี้ติดตั้งด้วยกลไกจักรกลอัตโนมัติโครโนกราฟ Calibre L688 พร้อมทั้งซิลิคอนบาลานซ์สปริงที่มอบทั้งความเที่ยงตรงแม่นยำและประสิทธิภาพของการต้านทานแม่เหล็ก รวมถึงมั่นใจได้กับการรับประกัน 5 ปี
3. The Longines Legend Diver Watch
อีกหนึ่งรุ่นย้อนตำนานสุดโด่งดังของ Longines ที่นำมาตีความใหม่ในปีนี้ โดยเฉพาะการนำเสนอด้วยเฉดสีสันใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสีน้ำเงิน หรือสีน้ำตาล ปรับให้รูปลักษณ์ของหนึ่งในนาฬิกาดำน้ำรุ่นแรกๆ ของ Longines นี้มีความโฉบเฉี่ยวทันสมัยยิ่งขึ้น แต่ยังคงไ้ว้ซึ่งการบอกเล่าถึงเรื่องราวความสำเร็จในการพัฒนาด้านกลไกและนาฬิกาดำน้ำมาโดยตลอด
สมาชิกรุ่นล่าสุดของตระกูล Heritage นี้เริ่มต้นมาจากมรดกของแบรนด์ที่นำกลับมารังสรรค์ใหม่ภายใต้โปรเจกต์ “Immersion in Heritage” ที่เปิดตัวในปีค.ศ. 2007 พร้อมกับนาฬิกา The Longines Legend Diver Watch รุ่นแรก เพื่อสืบทอดเรื่องราวการเป็นนาฬิกากันน้ำสมรรถนะสูงมานับตั้งแต่ปีค.ศ. 1937 ที่ Longines ได้พัฒนาตัวเรือนนาฬิกาที่สามารถกันน้ำได้ พร้อมทั้งติดตั้งกลไกคาลิเบอร์ชื่อดัง อย่าง Calibre 13ZN ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรเฉพาะของแบรนด์ จึงเป็นที่มาของการรังสรรค์นาฬิกาดำน้ำเรือนแรกขึ้นในปีค.ศ. 1958 รวมถึงผลงานรุ่นอื่นๆ ตลอดช่วงยุค 1960s
สำหรับ The Longines Legend Diver Watch รุ่นใหม่ของปีค.ศ. 2021 เป็นการเพิ่มเวอร์ชั่นตัวเรือนสเตนเลสสตีลที่มาพร้อมกับหน้าปัดสีน้ำเงินและสีน้ำตาล ตกแต่งด้วยเครื่องหมายขีดบอกเวลาทรงสี่เหลี่ยม และตัวเลขอารบิก เคลือบด้วยสารเรืองแสงซูเปอร์ลูมิโนวาช่วยให้อ่านค่าเวลาได้ชัดเจนใต้ท้องทะเล ประกอบเข้ากับสายหนังสีน้ำเงินและสีน้ำตาลเพื่อให้เข้ากับหน้าปัด พร้อมทั้งคงประสิทธิภาพการกันน้ำได้ลึก 300 เมตร และการขับเคลื่อนของกลไกจักรกลอัตโนมัติ ติดตั้งซิลิคอนบาลานซ์สปริง รวมถึงการรับประกัน 5 ปี
4. HydroConquest
หากยังจำกันได้ ปีที่ผ่านมา Longines ได้เปิดตัวนาฬิกา HydroConquest (ไฮโดรคอนเควสต์) เป็นครั้งแรกในปีค.ศ. 2018 ด้วยความโดดเด่นของรูปลักษณ์ที่สวยงาม บวกกับฟังก์ชั่นที่เหมาะสำหรับกีฬาทางน้ำ พร้อมทั้งสีสันซึ่งเป็นที่นิยมและกลายเป็นจุดเด่นของคอลเลกชั่น อย่าง สีน้ำเงิน สีเทา สีดำ และสีเขียว โดยออกแบบมาพร้อมกับเส้นสายที่ทันสมัย และเสริมประสิทธิภาพด้วยขอบตัวเรือนทำจากเซรามิกสีเดียวกับหน้าปัด เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งทนทานให้กับนาฬิกา
และปีนี้ HydroConquest ได้กลับมาพร้อมสมาชิกใหม่ในเวอร์ชั่นทูโทน ระหว่างตัวเรือนสเตนเลสสตีลและตกแต่ง PVD สีโรสโกลด์ คู่หน้าปัดสีเทาหรือสีน้ำเงินให้เลือก และตัวเรือนสเตนเลสสตีลคู่การตกแต่ง PVD สีเยลโลโกลด์ ผสมผสานเข้ากับหน้าปัดสีเขียว สีดำ และสีน้ำเงิน ทั้งสองเวอร์ชั่นประกอบลงตัวมากับสายยางที่มีให้เลือกหลากหลายสี พร้อมด้วยตัวล็อกแบบพับ เพื่อความปลอดภัยและสามารถปรับขยายสายได้สำหรับการดำน้ำ ตอบโจทย์สาวกนาฬิกาผู้มีใจรักในการผจญภัย และรับกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน พักผ่อน หรือเล่นกีฬาทางน้ำ
ด้วยแรงบันดาลใจและคุณสมบัติของการเป็นนาฬิกาสปอร์ตทางน้ำ รุ่นนี้จึงยังคงมาพร้อมประสิทธิภาพการกันน้ำได้ลึก 300 เมตร ผสานขอบตัวเรือนปรับหมุนได้สองทาง และฝาหลังแบบทึบขันเกลียวแน่น ปกป้องกลไกจักรกลอัตโนมัติ Calibre L888.5 และซิลิคอนบาลานซ์สปริง ต้านทานสนามแม่เหล็กได้ดี และยกระดับซึ่งความเที่ยงตรงแม่นยำ
5. La Grande Classique de Longines
ปิดท้ายด้วยความสวยงามของคอลเลกชั่นยอดนิยมอย่าง La Grande Classique de Longines (ลา กรองด์ คลาสิค เดอ ลองจินส์) ที่เปิดตัวครั้งแรกในปีค.ศ. 1992 และถือได้ว่าเป็นคอลเลกชั่นนาฬิกาที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างชื่อเสียงให้กับ Longines เสมอมา กับดีไซน์ที่สวยเด่นและร่วมสมัย ทั้งยังพัฒนาต่อยอดมาสู่ความหลากหลายแห่งความงดงามที่เหมาะกับความนิยมในแต่ละยุคสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เช่นเดียวกับรุ่นใหม่ของปีนี้ที่ยังคงมาพร้อมตัวเรือนบางเฉียบจากโครงสร้างพิเศษ และฝาหลังซึ่งทำหน้าที่เป็นข้อต่อเข้ากับสายนาฬิกา ซึ่งเป็นเทคนิคที่พัฒนาและจดสิทธิบัตรโดย Longines เพื่อช่วยให้สามารถเปลี่ยนสายได้อย่างง่ายดาย และมีเฉดสีมีให้เลือกสรรมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสายหนังสีขาว สีดำ และสีน้ำเงิน ที่เสริมความสง่างามให้กับตัวเรือนซึ่งมีให้เลือกเช่นกัน ทั้งสเตนเลสสตีลคู่การตกแต่ง PVD เยลโลโกลด์หรือพิงค์โกลด์ และเวอร์ชั่นสเตนเลสสตีลจับคู่กับสายโลหะที่แนบสนิทไปกับข้อมือ บรรจุด้วยกลไกจักรกลอัตโนมัติหรือเลือกได้ในรุ่นกลไกควอตซ์
เป็นอีกครั้งที่ผลงานเหล่านี้ได้ร่วมสะท้อนถึงเอกลักษณ์เฉพาะของแบรนด์และความเชี่ยวชาญในการผลิตสร้างสรรค์นาฬิกา Longines มาอย่างยาวนานจวบจนปัจจุบัน
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF LONGINES
MUSIC: Music Through Love by Mana Junkie from http://ccmixter.org
ART DIRECTOR: Perayut Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่