การแสดงออกครั้งใหม่ของความซับซ้อนในการประดิษฐ์นาฬิกา ด้วยรูปโฉมอันเป็นเอกลักษณ์ของ Reverso
นอกจากการเป็นรุ่น Boutique Exclusive ใหม่ล่าสุดที่มีจำหน่ายเฉพาะที่บูติกของ Jaeger-LeCoultre และมีจำนวนจำกัดเพียง 190 เรือน เท่านั้นแล้ว รุ่นนี้ยังมีดีกรีความสลับซับซ้อนจากภายใน กับการติดตั้งด้วยกลไกจักรกลไขลานด้วยมือ Jaeger-LeCoultre Calibre 826 พร้อมทั้งการแสดงชั่วโมงแบบตัวเลขกึ่งจั๊มปิ้งหรือ Digital semi-jumping hour คู่ด้วยการแสดงนาทีบนดิสก์หมุน และแสดงกลางคืน-กลางวัน โดย Jaeger-LeCoultre Reverso Tribute Nonantième ที่เห็นอยู่นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นสำคัญที่เปิดตัวออกมาร่วมฉลองครบรอบ 90 ปี ของนาฬิกา Reverso ในปีนี้ด้วย
แน่นอนว่า ด้วยรูปลักษณ์ของตัวเรือน Reverso ที่มาพร้อมตัวเรือนแบบพลิกกลับด้านได้ก็ถือว่าสามารถเรียกความสนใจของเหล่าสาวกและนักสะสมนาฬิกาได้ไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว แต่พอยิ่งมาบรรจบกับอีกหนึ่งตำนานบทสำคัญด้านจักรกลด้วย ก็ยิ่งทำให้ผลงานรุ่นนี้น่าสนใจมากขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ซึ่งตำนานที่ว่านี้ได้อ้างอิงถึงในปีค.ศ. 1991 หรือ 60 ปี หลังการสร้างสรรค์นาฬิกา Reverso ที่ Jaeger-LeCoultre ได้เปิดตัวทายาทนาฬิกาจักรกลรุ่น Reverso Soixantième ท่ามกลางสถานการณ์การฟื้นตัวและถือกำเนิดใหม่ของนาฬิกาจักรกล หลังจากช่วงวิกฤตการณ์ควอตซ์ (ยุค 1970s และต้น 1980s) ได้ผ่านพ้นไป ซึ่งรุ่นนี้ถือเป็นนาฬิกา Reverso ที่มาพร้อมจักรกลสลับซับซ้อนรุ่นแรกกับการแสดงพลังงานสำรองและแสดงวันที่ และยังเป็นรุ่นแรกอีกเช่นกันที่มาพร้อมกับฝาหลังกระจกแซฟไฟร์ โดยเจาะช่องหน้าต่างให้สามารถมองเห็นการขับเคลื่อนของกลไกจักรกลภายใน ที่แม้จะอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของรูปทรงตัวเรือนสี่เหลี่ยมที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อบรรจุกลไกสลับซับซ้อนไว้ตั้งแต่แรกก็ตาม แต่ Reverso รุ่นนี้ก็กลับทำออกมาได้ดี โดยสามารถบรรจุไว้ด้วยความซับซ้อนของฟังก์ชั่น และยังคงความคลาสสิกร่วมสมัยของสัดส่วนและเส้นสายสไตล์ Art Deco อันโดดเด่นของ Reverso ไว้ได้เช่นเดิม
ณ เวลานั้น เป้าหมายของโรงงานการผลิตแห่งนี้ยังรวมไปถึงการพยายามพัฒนาและสร้างสรรค์นาฬิกา Reverso รุ่นใหม่ให้ได้อย่างน้อยหกรุ่นภายในหนึ่งทศวรรษ และแต่ละรุ่นต้องมาพร้อมการผสมผสานไว้ด้วยความสลับซับซ้อนอันคลาสสิก หรืออย่างน้อยก็ต้องเป็นความท้าทายทางเทคนิคใหม่ๆ โดยเฉพาะการสร้างสรรค์กลไกจักรกลด้วยรูปทรงสี่เหลี่ยมพิเศษ ซึ่งต่างไปจากโครงสร้างของกลไกทรงกลมแบบทั่วไป จึงเป็นที่มาของการเปิดตัวนาฬิกา Reverso Tourbillon ขึ้นตามมาในปีค.ศ. 1993 ซึ่งถือเป็นนาฬิกาข้อมือ tourbillon รุ่นแรกของโรงงาน จากนั้นในปีค.ศ. 1994 Jaeger-LeCoultre จึงได้เปิดตัวรุ่น Reverso Répétition Minutes ที่นับเป็นครั้งแรกอีกเช่นกันสำหรับโรงงานในการจำลองกลไกจักรกลตีระฆังขนาดจิ๋วมาไว้ในนาฬิกาข้อมือได้สำเร็จ และยังครองตำแหน่งการเป็นกลไกตีระฆังบอกเวลารูปทรงสี่เหลี่ยมเป็นครั้งแรกในโลกอีกด้วย
จวบจนในปีค.ศ. 1996 จึงได้มีการเปิดตัวแนะนำ Reverso Chronograph Rétrograde อีกหนึ่งความซับซ้อนของจักรกลการแสดงเวลา ที่นำมาบรรจุไว้บนหน้าปัดอีกด้านของ Reverso เพื่อช่วยขจัดปัญหาในการจัดวางหน้าปัดย่อยแสดงผลจับเวลาโครโนกราฟไว้ภายใต้กรอบหน้าปัดสี่เหลี่ยมได้เป็นอย่างดี จากนั้นต่อมาอีกเพียงสองปี Reverso Géographique ก็เปิดตัวตามมา พร้อมๆ กับ Reverso Quantième Perpetuél แห่งสหัสวรรษใหม่ และในปีค.ศ. 2001 Jaeger-LeCoultre ได้เติมเต็มอีกหนึ่งทศวรรษให้กับเรื่องราวของ Reversoด้วย Septantième กับกลไก Calibre 879 ที่สำรองพลังงานได้นานถึง 8 วัน
และในปีนี้ กับทศวรรษที่เก้าของ Reverso Jaeger-LeCoultre จึงได้ปลุกตำนานแห่งความสลับซับซ้อนเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ใน Reverso Tribute Nonantième ผลงานรุ่นล่าสุดของครอบครัวอันย่ิงใหญ่แห่ง Reverso ที่เรียกได้ว่ามาพร้อมทั้งบุคลิก การแสดงออก และความสลับซับซ้อนอันคลาสสิก แต่ดูทันสมัยและน่าสนใจยิ่งขึ้น โดยภายในตัวเรือนพิงค์โกลด์ ขนาด 49.4 x 29.9 มิลลิเมตร หนา 11.72 มิลลิเมตร ของนาฬิกาข้อมือทรงสี่เหลี่ยมรุ่นนี้ได้บรรจุไว้ด้วยหน้าปัดด้านหน้าตกแต่งสีเงินซันเรย์ พร้อมทั้งเครื่องหมายขีดสีทองและเข็มชี้ทรง Dauphine ขณะที่ส่วนล่างของหน้าปัดแสดงข้างขึ้นข้างแรมภายในหน้าปัดย่อยแสดงวินาที และใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา มาพร้อมการแสดงวันที่ขนาดใหญ่หรือที่เรียกกันว่า Grande Date โดยล้อมกรอบด้วยพิงค์โกลด์ ที่สะท้อนถึงรูปทรงสี่เหลี่ยมของหน้าปัดและตัวเรือน Reverso ได้อย่างกลมกลืน
ขณะที่เมื่อพลิกตัวเรือนไปยังหน้าปัดอีกด้านหนึ่งนั้นบรรจุไว้ด้วยความสลับซับซ้อนสูงสุดของการประดิษฐ์รังสรรค์นาฬิกา ทั้งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนกับนาฬิกา Reverso นั่นคือการบรรจุด้วยช่องหน้าต่างทรงกลมสองช่องต่างขนาดกัน และจัดวางเรียงต่อกันคล้ายกับเลขแปด รายล้อมไปด้วยลวดลายแถบร่องและคิ้วนูน สะท้อนถึงขอบร่องและลายนูนแนวนอนทั้งบนด้านล่างและด้านบนของตัวเรือน โดยช่องหน้าต่างเล็กๆ ด้านบนนั้นทำหน้าที่แสดงชั่วโมงด้วยตัวเลขกึ่งจั๊มปิ้ง ซึ่งทำให้หวนนึกถึงการแสดงเวลาด้วยตัวเลข ที่พัฒนาขึ้นสำหรับนาฬิกาข้อมือโดยโรงงานการผลิตแห่งนี้ในยุค 1930s ส่วนช่องหน้าต่างขนาดใหญ่กว่าด้านล่าง ทำหน้าที่แสดงนาทีบนดิสก์หมุน ที่เผยให้เห็นเพียงบางส่วนของดิสก์แล็กเกอร์สีน้ำเงินแวววาว โปรยปรายไปด้วยดาวสีทองเล็กๆ ที่จำลองมาจากภาพของท้องฟ้ายามค่ำคืน และภายในช่องวงกลมเล็กๆ ณ ศูนย์กลางนี้ ยังปรากฏรูปดวงอาทิตย์และดวงจันทร์สีทองที่ค่อยๆ เคลื่อนผ่านเหนือขอบฟ้าเพื่อทำหน้าที่แสดงกลางคืน-กลางวัน ส่วนอีกครึ่งวงกลมใต้เส้นขอบฟ้านั้นประทับด้วยโลโก้ JL บนพื้นหลังลวดลายซันเรย์ไว้อย่างสง่างาม
และเหมือนกับนาฬิกา Reverso สลับซับซ้อนรุ่นอื่นๆ ทั้งหมด ที่ทีมวิศวกรของ Jaeger-LeCoultre ได้พัฒนาซึ่งกลไกจักรกลไขลานด้วยมือขึ้นมาใหม่สำหรับนาฬิการุ่นนี้โดยเฉพาะ นั่นคือ Jaeger-LeCoultre Calibre 826 ที่ประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วน 230 ชิ้น และสำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง
และอย่างที่เกริ่นไว้แล้วตั้งแต่ต้นว่าผลงาน Reverso Tribute Nonantième รุ่นนี้ถือเป็นรุ่น Boutique Exclusive ที่จะมีจำหน่ายเฉพาะในบูติกของ Jaeger-LeCoultre และมีจำนวนจำกัดพิเศษเพียง 190 เรือน เท่านั้น จึงนับเป็นอีกหนึ่งผลงานที่สืบทอดมรดกอันสำคัญจากตำนานของ Reverso และเป็นรุ่นลิมิเต็ดหายากที่นักสะสมต้องไม่พลาดมีไว้ในครอบครอง
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF Jaeger-LeCoultre
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
Music: https://pixabay.com/
Stock Footage: sunset from www.pexels.com
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่