Gucci เสนอนิทรรศการ Gucci Visions สู่การเดินทางอันตื่นตาตื่นใจไปกับไอเดียสร้างสรรค์ในแต่ละช่วงทศวรรษ
งานนิทรรศการ Gucci Visions Bangkok เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยผู้บริหารระดับสูงจาก Gucci ทั้ง 3 ท่าน ได้แก่ Emmanuel Delrieu (เอ็มมานูเอล เดลริเออ) President South Asia & Pacific Daniel Bombardi (แดเนียล บอมบาร์ดี) General Manager Thailand & Vietnam และ Sheryl Tam (เชอริล แทม)Vice President Brand & Customer Engagement และเหล่าแบรนด์แอมบาสเดอร์ของประเทศไทย ใหม่ ดาวิกา กลัฟ คณาวุฒิ และบิวกิ้น พุฒิพงศ์ ร่วมด้วยเหล่าเซเลบริตี้ระดับแนวหน้า ได้แก่ แอน ทองประสม เจมีไนน์ นรวิชญ์ น้ำตาล ทิพนารี ฟรีน สโรชา และ 4 สมาชิกจากศิลปินวง BUS ขุนพล ปองพล ภีม วสุพล คอปเปอร์ เดชาวัต และภู ธัชชัย
ทั้งศิลปินชั้นนำและเหล่าแฟชั่นอินฟลูเอนเซอร์จากภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ทั้ง Liza Soberano (ลิซ่า โซเบราโน) นักแสดงชาวฟิลิปปินส์ Chi Pu (จี ปู) จากเวียดนาม Rebecca Lim (รีเบกกา ลิม) จากสิงคโปร์ Scha Alyahya (ชา อัลญาญ่า) และ Awal Ashaari (อาวัล อาชารี) จากมาเลเซีย Mahalini (มหาลินี) นักดนตรีจากอินโดนีเซีย และ James Reid (เจมส์ รีด) จากฟิลิปปินส์ และแฟชั่นอินฟลูเอนเซอร์ Petra Mac (เปตรา แมค) จากออสเตรเลีย และ Nicole Mehta (นิโคล เมห์ธา) จากอินเดีย
Gucci เสนอนิทรรศการ Gucci Visions ณ ศูนย์การค้าเอ็มสเฟียร์ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ที่จะนำผู้ชมสู่การเดินทางอันตื่นตาตื่นใจไปกับไอเดียสร้างสรรค์ในแต่ละช่วงทศวรรษ ด้วยผลงานช่างฝีมืออันเป็นต้นแบบที่เป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์
Gucci Visions นิทรรศการที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของแบรนด์ที่มีมายาวนานกว่า 103 ปี ผ่านมุมมองอันรอบด้าน เสมือนเป็นการย้อนรำลึกถึงผลงานการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์และสัญลักษณ์ไอคอนิกของแบรนด์ รวมไปถึงความสามารถอันเปี่ยมพรสวรรค์ของเหล่าครีเอทีฟไดเรกเตอร์และช่างฝีมือที่สั่งสมมานาน
สำหรับนิทรรศการในครั้งนี้เป็นการร่วมค้นหารหัสอันเป็นตำนานของ Gucci ที่แสดงให้เห็นถึงความเชื่อที่ยึดมั่นในพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์และการทุ่มเทให้กับงานช่างฝีมือตามแบบฉบับอิตาเลียน ที่อยู่เบื้องหลังในทุกชิ้นงานออกแบบที่จัดแสดงอยู่ภายในงานนิทรรศการครั้งนี้
ภายในงานนิทรรศการประกอบไปด้วยห้องทั้งหมด 6 ห้อง ที่แบ่งตามธีมเรื่องราวที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน เสนอแง่มุมที่หลากหลายเรื่องราว โดยจะเริ่มออกเดินทางสู่ประวัติศาสตร์ความเป็นมาของแบรนด์ Gucci ที่ไล่เรียงไปตามลำดับเวลาด้วยผลงานภาพวาด บอกเล่าจากบันทึกที่รวบรวมทั้งวันสำคัญ เหตุการณ์ต่างๆ และเหล่าดารา นักแสดงที่มีบทบาทต่อแบรนด์ ร้อยเรียงเรื่องราวเป็นฉากหลังเพื่อประสบการณ์อันตราตรึง
ผู้ชมจะได้รับรู้ถึงจุดเริ่มต้นและนัยสำคัญขององค์ประกอบต่างๆ อันเป็นไอคอนิกของแบรนด์ ได้ทำความเข้าใจถึงบทบาทสำคัญของแต่ละองค์ประกอบที่ยังคงความมีเสน่ห์ในแบบของ Gucci อยู่เสมอ ค้นพบแง่มุมอันหลากหลายของ Gucci ได้ในจากห้องแต่ละห้อง โดยส่วนสำคัญอยู่ที่เรื่องราวและไอคอนของแบรนด์อันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ กระเป๋า Bamboo ลวดลายโมโนแกรม GG และลวดลาย Flora เริ่มต้นจากกระเป๋าเดินทางอันเปี่ยมด้วยแรงบันดาลใจจากเรื่องราวในอดีตสำหรับนักเดินทางอันทันสมัย ไปจนถึงชุดราตรียาวสำหรับงานกลางคืนอันงดงามวิจิตร ที่สวมใส่โดยเหล่าเซเลบริตี้มากว่าทศวรรษ ซึ่งบอกเล่าผ่านธีมในแต่ละห้องด้วยมุมมองที่โดดเด่นและแตกต่าง
มอบประสบการณ์อันน่าตื่นตาตื่นใจ ที่บ่งบอกถึงคำมั่นสัญญาของแบรนด์ในการก้าวไปข้างหน้าเชื่อมต่อแนวความคิดสร้างสรรค์จากรุ่นสู่รุ่น โดยเริ่มจาก Guccio Gucci อันเป็นต้นแบบไปสู่ผลงานการบุกเบิกของบรรดาลูกชายของเขา รวมไปถึงการเปลี่ยนถ่ายความเป็นผู้นำผ่านเหล่าครีเอทีฟไดเรกเตอร์ สำหรับงานนิทรรศการในครั้งนี้เป็นการผสมผสานเรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันของแบรนด์ ถ่ายทอดความเป็นไปในแต่ละบทที่แตกต่างของเรื่องราวประวัติศาสตร์แห่ง Gucci
Flora
สำหรับห้อง Flora เป็นการถ่ายทอดลวดลายอันเป็นไอคอนิกของแบรนด์ ที่เริ่มต้นขึ้นจากจินตนาการของ Vittorio Accornero de Testa ผู้เป็นทั้งศิลปิน นักออกแบบฉากและนักวาดภาพประกอบชาวอิตาเลียนประจำแบรนด์ Gucci ตั้งแต่ปีค.ศ.1966 โดยปรากฎลวดลาย Flora เป็นครั้งแรกบนผ้าพันคอที่ทอขึ้นจากผ้าไหม ที่มีความเป็นธรรมชาติละเมียดละไมสะท้อนฤดูกาลทั้ง 4 ฤดูกาลผ่านภาพดอกไม้ พรรณไม้และแมลงนานาชนิด ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของแรงบันดาลใจสำหรับแบรนด์เสมอมา ลวดลาย Flora อันเปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหลนี้ ผ่านการตีความลงบนคอลเลกชันเครื่องแต่งกาย ready-to-wear กระเป๋าถือ เครื่องประดับ รวมไปถึงน้ำหอม Gucci eau de parfum อันเป็นเอกลักษณ์ความงามเหนือกาลเวลาของมวลช่อดอกลิลลี่ ดอกป๊อปปี้ ดอกแอนนีโมนี ดอกทิวลิปและดอกไอริส รวมไปถึงเหล่าผีเสื้อ แมลงปอ ตัวต่อ ตั๊กแตนและด้วง คงเป็นสัญลักษณ์อันเปี่ยมพลังประจำแบรนด์ ที่เต็มไปด้วยความหลงใหลในธรรมชาติที่ผลิบานไม่รู้จบเสมือนความคิดสร้างสรรค์ที่ไม่หยุดนิ่ง
Bamboo
กระเป๋าถือ Gucci Bamboo 1947 ถือเป็นแบบอย่างของการไม่ยึดติดกับวิถีเดิม ในงานช่างฝีมือของ Gucci ที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์อันโดดเด่นในเรื่องความเชี่ยวชาญด้านงานช่างฝีมือของ Gucci โดยการเลือกเอาวัสดุที่มีความโดดเด่นพิเศษนี้มาใช้ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก Vasco Gucci บุตรชายคนที่ห้าของ Guccio Gucci ผู้มีความชื่นชอบในตัวไม้เท้า หลังจากผ่านการทดลองสร้างสรรค์หลายต่อหลายครั้ง ในที่สุดวัสดุไม้ไผ่ก็ขึ้นรูปเป็นที่จับของกระเป๋ารูปทรงอานม้า และในปี 1947 ไม้ไผ่นำมาใช้ในสตูดิโอเวิร์คช็อปของ Gucci โดยผ่านการดัดขึ้นรูปด้วยเปลวไฟให้ได้ที่จับกระเป๋ารูปทรงโค้งได้สัดส่วนและลงเคลือบเงา ทำให้ที่จับกระเป๋ามีเฉดสีและรูปทรงที่มีความเฉพาะตัวในแต่ละชิ้นด้วยผลงานการออกแบบที่ทันสมัย เป็นสัญลักษณ์แห่งงานช่างฝีมืออันประณีตเปี่ยมเอกลักษณ์ประจำแบรนด์
จากจุดเริ่มต้นของกระเป๋ารุ่นนี้ ทั้ง Gucci และครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของแบรนด์ต่างปรับโฉม ผ่านรายละเอียดของวัสดุไม้ไผ่ในหลากหลายบริบท ตั้งแต่หัวเข็มขัดไปจนถึงรองเท้าส้นสูงคู่เด่น ทั้งนี้กระเป๋า Bamboo 1947 ก็ยังคงเป็นที่รู้จักและเป็นที่ชื่นชอบอยู่เสมอ รวมถึงเป็นเครื่องย้ำเตือนว่า ได้ปรับโฉมภาพจำให้กับเครื่องใช้จำเป็นไปสู่ชิ้นงานสร้างสรรค์ และจากชิ้นงานสร้างสรรค์ไปสู่ความสง่างามของการเป็นผู้นำในด้านงานช่างฝีมืออันประณีตที่หรูหรา
Travel
ในปี 1921 แบรนด์ Gucci ก่อตั้งขึ้นนั้น แนวคิดสำคัญได้มุ่งเน้นไปที่การเป็น “กระเป๋าเดินทางตามแบบฉบับอังกฤษ” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากมุมมองของ Guccio Gucci ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการเดินทางสู่กรุงลอนดอนกว่าสองทศวรรษก่อนหน้าการถือกำเนิดของแบรนด์ เมื่อครั้งวัยเยาว์ที่เขาทำหน้าที่เป็นพนักงานยกกระเป๋าที่โรงแรม The Savoy อันเป็นหนึ่งในโรงแรมที่หรูหราที่สุดแห่งหนึ่งในมหานคร Guccio ได้คลุกคลีใกล้ชิดกับวงสังคมชั้นสูงในระดับนานาชาติ ได้เรียนรู้ว่าอะไรคือความต้องการอันแท้จริงของผู้เดินทาง ที่ว่ากระเป๋าเดินทางที่เหมาะสมที่สุดควรเป็นอย่างไร รวมไปถึงรูปลักษณ์ของกระเป๋าเดินทางซึ่งสะท้อนทั้งรสนิยมและสถานะทางสังคมของผู้เป็นเจ้าของ
เมื่อ Guccio เดินทางกลับมาบ้านเกิดในเมืองฟลอเรนซ์ ด้วยความรู้และประสบการณ์ที่ได้สั่งสมไว้ รวมถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่เปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์ ฝึกฝนตนเองให้เป็นต้นแบบแห่งงานช่างฝีมือสำหรับเครื่องหนัง โดยวางรากฐานให้กับแบรนด์ Gucci ซึ่งใช้ชื่อแบรนด์ตามชื่อของเขาเอง และศตวรรษต่อมา Gucci คงสานต่อเรื่องราวการเดินทางเปี่ยมไอเดียสร้างสรรค์ที่ผู้ก่อตั้งได้ริเริ่มไว้ สัมผัสกับเรื่องราวในอดีตอันเป็นตำนาน ที่บ่งบอกว่าการสร้างสรรค์ผลงานกระเป๋าถือและกระเป๋าเดินทางได้ข้ามขีดจำกัดของการเดินทางที่พาให้พบกับประสบการณ์ในแง่มุมต่างๆ ของนักเดินทาง
Icons
ห้อง Icons เป็นการระลึกถึง กระเป๋าถือ Bamboo 1947, Horsebit 1955 และ Jackie 1961 ซึ่งถือเป็นตัวแทนของงานออกแบบสุดไอคอนิกของแบรนด์ ด้วยภาพลักษณ์อันโดดเด่นด้านแนวคิดสร้างสรรค์และงานช่างฝีมืออันประณีตของ Gucci อันเป็นเรื่องราวเปี่ยมเอกลักษณ์ที่คงไว้ซึ่งจิตวิญญาณแห่งห้วงเวลา
โดยในปี 1947 Gucci ได้นำเสนอกระเป๋าถือไอคอนิกใบแรก ซึ่งตกแต่งด้วยที่จับกระเป๋าที่ทำจากไม้ไผ่รูปทรงโค้ง นับเป็นจุดเริ่มต้นของตำนานแห่งผลงานการออกแบบกระเป๋าอันชาญฉลาด สร้างสรรค์อันเป็นที่จดจำ ได้มีการหยิบเอาสัญลักษณ์ Horsebit (ฮอร์สบิต) หรือ ตะขอปากม้า มาปัดฝุ่นตีความอีกครั้ง หลังจากที่ปรากฎอยู่บนรองเท้าทรงโลฟเฟอร์ตั้งแต่ปี 1953 โดยนำเอาสัญลักษณ์นี้มาใช้กับกระเป๋าเป็นครั้งแรกในปี 1955 สำหรับกระเป๋าถือ Horsebit 1955 ในปัจจุบันคงกลิ่นอายจากผลงานแรกเริ่มตั้งแต่ปี 1955 เอาไว้ โดยใช้วัสดุฮาร์ดแวร์และแรงบันดาลใจของกระเป๋ารูปทรงผืนผ้าที่ได้รับความนิยมในช่วงยุค 1970s
เช่นเดียวกันกับกระเป๋า Gucci Jackie 1961 ที่เป็นการย้อนเล่าเรื่องราวไปในปี 1961 ของกระเป๋ารูปทรงพระจันทร์เสี้ยวโดดเด่น ตกแต่งตัวล็อคที่ปิดกระเป๋ารูปทรงคล้ายลูกสูบ เป็นอีกหนึ่งผลงานอมตะของช่างฝีมือที่ได้บันทึกเรื่องราวเอาไว้
ต่อมาเหล่าครีเอทีฟไดเรกเตอร์ ได้มีการนำผลงานออกแบบอันเป็นต้นฉบับกลับมาตีความอีกครั้ง ผ่านมุมมองอันร่วมสมัย โดยไม่เพียงเพื่อระลึกถึงผู้ก่อตั้งแบรนด์เท่านั้น แต่สะท้อนการส่งต่อสู่ผู้ชมในแต่ละยุคสมัยอีกด้วย โดยในงานนิทรรศการ Gucci Visions ได้มีการจัดแสดงกระเป๋าไอคอนิกจาก Gucci ทั้งสามรุ่นด้วยแบบที่หลากหลายกว่า 200 ใบ ซึ่งจัดเรียงไว้บนชั้นที่ทำจากกระจกสะท้อนเพื่อแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด
Stars
Stars ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์อันยาวนานของ Gucci กับบุคคลสำคัญ เซเลบริตี้และอินฟลูเอนเซอร์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมในด้านต่างๆ มากว่าศตวรรษ โดยในช่วงแรกที่ Guccio Gucci ได้พบกับกลุ่มชนชั้นสูงที่โรงแรม Savoy ในกรุงลอนดอนไปจนถึงการเป็นที่รู้จักยอมรับในหมู่ดาราภาพยนตร์จากฮอลลีวูดและชนชั้นสูงทั่วโลกในช่วงยุค 1950s และ 1960s สู่ความเป็นไอคอนิกในฐานะสัญลักษณ์แห่งความหรูหราสง่างาม ในช่วงยุค 1990s ที่ยุคดิจิทัลกำลังจะเริ่มขึ้น ความสัมพันธ์เริ่มขยายออกไปเป็นวงกว้างและมีความหลากหลายมากขึ้น สะท้อน ภาพวิวัฒนาการของวัฒนธรรมเซเลบริตี้ได้เป็นอย่างดี
ในส่วนจัดแสดงของธีม Stars ได้มีการนำเอากระจกและจอภาพดิจิทัลมาใช้ในการสร้างสรรค์ประสบการณ์ เสริมให้เครื่องแต่งกายที่ถูกกล่าวขานผ่านการคัดสรรมาจัดแสดงในครั้งนี้ดูโดดเด่นมากยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องแต่งกายในแต่ละชุดได้รับการตัดเย็บขึ้นโดยเฉพาะ โดย Gucci คงสานต่อความสัมพันธ์กับวัฒนธรรมเซเลบริตี้ที่พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องแต่งกายอันงดงามตราตรึงที่สวมใส่โดย ดาวิกา โฮร์เน่ แบรนด์แอมบาสเดอร์ Gucci ของประเทศไทย สวมใส่ในงาน Gucci Art Lab Event 2023 ณ กรุงเทพฯ ประเทศไทย ซึ่งตัดเย็บขึ้นเป็นพิเศษสำหรับงานในครั้งนั้น โดยเป็นชุดยาวสีดำที่มีลูกเล่นความระยิบระยับของเนื้อผ้า ตกแต่งด้วยเทคนิคงานผ้าอัดพลีทและประดับเข็มกลัด ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเทให้กับผลงานช่างฝีมือและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง
Fashion
ห้องจัดแสดงธีม Fashion เป็นการจัดแสดงลุคต่างๆ ในแต่ละทศวรรษที่ผ่านการคัดสรรอย่างพิถีพิถัน โดยหยิบยกมาจากผลงานเก็บสะสมที่ผ่านมาของแบรนด์จาก Gucci Archive ซึ่งเก็บรักษาไว้ที่ปราสาท Palazzo Settimanni ฟลอเรนซ์ อิตาลี
ผลงาน Archive อันล้ำค่าสำหรับเหล่าครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ Gucci ช่วยมอบแรงบันดาลใจและเป็นพื้นที่สำหรับส่งต่อเรื่องราวของงานออกแบบในช่วงเวลานั้น ไปสู่เจเนอเรชันที่หลากหลาย ทั้งเป็นพื้นที่ที่รหัสสัญลักษณ์อันโดดเด่นของแบรนด์ได้ถือกำเนิดขึ้นและหยิบยกกลับมาตีความครั้งแล้วครั้งเล่า เห็นได้จากลวดลาย Flora อันเป็นไอคอนิกที่ตกแต่งบนเครื่องแต่งกายในยุค 1960s สู่ความยวนเย้าตามแบบฉบับของ Tom Ford งานออกแบบลายผ้าลูกไม้และการตีความอันเปี่ยมนวัตกรรมของกระเป๋า Gucci Jackie จากความเป็นเฟมินีนอันน่าค้นหาของ Frida Giannini และแรงบันดาลใจจากยุค 1970s สู่ผลงานแคมเปญของ Alessandro Michele รวมไปถึงผลงานคอลเลกชันในช่วงแรกของเขาและแคมเปญ Aria ที่แสดงถึงสัญลักษณ์ของลวดลาย GG และลวดลายแถบ Web Stripe
จากลวดลายที่มีกลิ่นอายของนักขี่ม้าไปสู่ผลงาน Gucci Ancora ซึ่งเป็นคอลเลกชันครั้งแรกของ Sabato De Sarno ครีเอทีฟไดเรกเตอร์คนล่าสุดของแบรนด์ โดยชิ้นงานที่เป็นเอกลักษณ์อย่างกระเป๋า Bamboo และรองเท้าโลฟเฟอร์ Horsebit กลับมาทรงพลังอีกครั้ง ด้วยกลิ่นอายที่ทันสมัยขึ้น ทั้งนี้ผลงาน Archive คงเป็นรากฐานสำคัญของ Gucci ที่พัฒนาไปอย่างต่อเนื่องนั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยวิสัยทัศน์แห่งคุณภาพ สง่างามและผลงานช่างฝีมืออันประณีตที่จะคงอยู่ตลอดไป
สำหรับห้องทั้ง 6 ห้องภายในงานนิทรรศการ Gucci Visions นั้น สร้างสรรค์แรงบันดาลใจและเติมเต็มการเดินทางที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์ คงความเป็นที่สุดในงานสร้างสรรค์และคุณภาพที่เปี่ยมด้วยสัมผัสของความหรูหราที่มีมายาวนาน
นิทรรศการ Gucci Visions ในประเทศไทย เปิดให้เข้าชม ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2567 ไปจนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม 2567 นี้ ณ EM GLASS บริเวณชั้น G อาคาร EM TOWER ศูนย์การค้า EMSPHERE
สำหรับผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมนิทรรศการ Gucci Visions สามารถสำรองการเข้าชมได้ที่ https://www.gucci.com/th/en_gb/st/capsule/gucci-visions-bangkok หรือ LINE Official Account: @GUCCITH
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF GUCCI
สามารถติดตามคอนเทนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่