La Esmeralda เรือนเวลาระดับตำนานของ Girard-Perregaux ได้กลับมาเผยโฉมอีกครั้งกับครั้งแรกในตัวเรือนไวท์โกลด์ 18 กะรัต พร้อมจักรกลทูร์บิญอง
La Esmeralda (ลา เอสเมอร์รัลดา) เรือนเวลาระดับตำนานของ Girard-Perregaux (จิราร์ด แปร์เรอโกซ์) ได้กลับมาเผยโฉมอีกครั้งกับครั้งแรกในตัวเรือนไวท์โกลด์ 18 กะรัต พร้อมจักรกลทูร์บิญอง ในเวอร์ชันที่มีนามเรียกขานว่า La Esmeralda “A Secret” Eternity Edition (ลา เอสเมอร์รัลดา อะซีเคร็ต อิเทอนิตี้ เอดิชัน) ซึ่งเป็นการตีความครั้งใหม่ในรูปแบบกับการตกแต่งด้วยงานหัตถศิลป์อย่างวิจิตรงดงาม และจะเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่จะนำไปจัดแสดงในงาน 2023 Jewellery and Watches Exhibition (2023 จิวเวลเลอรี แอนด์ วอทเชส เอ็กซ์ซิบิชัน)
เรื่องราวของนาฬิกา La Esmeralda เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1889 เมื่อ Constant Girard หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ ได้นำเสนอเรือนเวลาพกผลงานพิเศษออกแสดง ณ Exposition Unniverselle (เอ็กซ์โปซิซิยง องนิแวร์แซล) ที่กรุงปารีส โดย Constant Girard ใช้เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของเขาในการรังสรรค์เรือนเวลาที่เที่ยงตรงสูงสุด จนได้รับรางวัลชนะเลิศหลากหลายรางวัลในช่วงเวลานับสิบปี ทั้งนี้ ความสามารถของ Constant ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงเรื่องของการสร้างสรรค์กลไกที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่รวมไปถึงความสุนทรีย์ของเรือนเวลาด้วย
โดยในช่วงปี 1867 เขาได้เผยโฉมทูร์บิญองโครโนมิเตอร์ที่ติดตั้งไว้กับสะพานจักรปลายรูปหัวลูกศรนิกเกิลเงิน 3 ชิ้น ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างสวยงาม เป็นการเปลี่ยนบทบาทของสะพานจักรที่ปกติเป็นเพียงชิ้นส่วนของกลไกให้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกถึงความงดงามในเรือนเวลา ซึ่งเมื่อเวลาล่วงมาในปี 1889 ที่เขาได้สร้างสรรค์เรือนเวลา La Esmeralda สะพานจักร 3 ชิ้นดังกล่าวได้รังสรรค์ขึ้นด้วยวัสดุทองคำ นำเสนอคู่กับตัวเรือนที่ได้รับการแกะสลักอย่างงดงาม จึงทำให้เรือนเวลาพกเรือนนี้ได้รับรางวัลเหรียญทองที่งาน Exposition Unniverselle และได้รับชื่อเสียงเป็นที่รู้จักเรื่อยมา
ในวันนี้เรือนเวลา La Esmeralda ได้รับการตีความใหม่ในรูปแบบนาฬิกาข้อมือ secret watch ในชื่อ La Esmeralda “A Secret” Eternity Edition ที่ปรากฏในตัวเรือนไวท์โกลด์ 18 กะรัต ขนาด 43.0 มิลลิเมตร หนา 15.10 มิลลิเมตร อันได้รับการการรังสรรค์งานฝีมือที่วิจิตรงดงามจากช่างหัตถศิลป์ที่เชี่ยวชาญ ทั้งการแกะสลักลวดลายบนพื้นผิวตัวเรือนทั้งหมด และการลงยาบนพื้นผิวของหน้าปัดขัดลายซันเรย์และบริเวณด้านข้างตัวเรือนในแบบ grand feu โดยลูกค้าสามารถเลือกสีสันได้ตั้งแต่ สีน้ำเงิน เขียว และเทา ผลิตในจำนวนจำกัดสีละ 18 เรือนเท่านั้น
พื้นหน้าปัดอวดโฉมสะพานจักรรูปหัวลูกศรไวท์โกลด์ 3 ชิ้น จัดวางขนานกันเพื่อยึดชิ้นส่วนสำคัญของกลไกอย่างตลับลาน เข็มนาฬิกา และจักรกลทูร์บิญองที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา โดยสะพานจักรชิ้นบนและชิ้นล่างได้รับการแกะสลักปลายด้านหนึ่งอย่างประณีตเป็นรูปของม้าที่แลดูราวมีชีวิต หน้าปัดครอบทับด้วยกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทรงกล่อง กันน้ำได้ลึก 30 เมตร
พลิกมาที่ด้านหลังตัวเรือนจะพบกับฝาหลังแบบบานพับเปิดออกได้ ซึ่งได้รับการตกแต่งด้วยการแกะสลักเป็นรูปของม้า 2 ตัว และเส้นของรัศมีดวงอาทิตย์เจิดจ้าอยู่เบื้องหลัง อีกทั้งยังได้รับการลงยาแบบ grand feu เคลือบพื้นผิวเพื่อความสวยงาม เมื่อเปิดฝาหลังออกจะพบกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ใสปกป้องกลไกภายในอีกชั้นหนึ่ง แต่ยังคงสามารถชื่นชมการทำงานของกลไกได้อย่างใกล้ชิด โดยกลไกที่บรรจุลงในเรือนเวลาเรือนนี้คือ กลไก in-house ไขลานอัตโนมัติ Cal. GP09600-2083 ประกอบขึ้นจากชิ้นส่วนทั้งสิ้น 323 ชิ้น ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง ติดทับทิมกันสึกจำนวน 31 ชิ้น สำรองพลังงานได้นานขั้นต่ำ 50 ชั่วโมง แสดงเวลาเป็นชั่วโมงและนาทีผ่านชุดเข็มทรงดอลฟีน ณ ศูนย์กลางหน้าปัด และแสดงวินาทีแยกย่อยบนชุดจักรกลทูร์บิญองที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา
เรือนเวลา La Esmeralda “A Secret” Eternity Edition สวมใส่คู่สายหนังจระเข้เย็บขึ้นด้วยมือ พร้อมหัวเข็มขัดรัดสายไวท์โกลด์แบบบานพับ 3 ทบ วางจำหน่ายในราคาเรือนละ 427,600 ฟรังก์สวิส
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF GIRARD-PERREGAUX
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่