รีวิวหลังดูจบแบบไม่สปอยล์ – First Love ซีรีส์รักสุดซาบซึ้งจากแดนปลาดิบที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลงดังข้ามเวลาของอูทาดะ ฮิคารุ
หากเอ่ยชื่อของนักร้องสาวอูทาดะ ฮิคารุ (Utada Hikaru) เชื่อว่าแฟนเพลงสายเจป็อปยุค 90s คงจะร้องอ๋อกันถ้วนหน้า เพราะเธอคือศิลปินหญิงสายอิเลคทรอนิกส์-ป็อปที่โดดเด่นและสร้างชื่อเสียงไปทั่วโลกในยุคก่อนที่โลกอินเตอร์เน็ตจะเฟื่องฟู และล่าสุดหลังจากมีประกาศการสร้างและถ่ายทำมาระยะหนึ่งก่อนหน้านี้ ในที่สุด Netflix ก็ได้นำเสนอซีรีส์เรื่องใหม่ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากเพลง First Love (1999) เพลงฮิตตลอดกาลของเธอออกมาให้แฟนๆ ได้ชมเป็นที่เรียบร้อย
First Love เป็นซีรีส์รักแนวดราม่าที่หยิบเอาแรงบันดาลใจเกี่ยวกับความรักครั้งแรกและความทรงจำอันสวยงามที่ยากจะลบเลือน โดยได้พระเอกหนุ่ม ซาโต ทาเครุ (Takeru Satoh) จาก If Cats Disappeared from the World (2016) และ Rurouni Kenshin (2021) มาประกบคู่นักแสดงสาว ฮิคาริ มิตสึชิมะ (Mitsushima Hikari) จากหนังอาร์ตสุดคัลท์อย่าง Love Exposure (2006) เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวความรักที่ผ่านยุคสมัยจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
โดยเล่าเรื่องราวของยาเอะ โนกุชิ หญิงสาวใสซื่อที่มีความใฝ่ฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตส กับนามิกิ ฮารุมิชิ หนุ่มหล่อมาดนักเลง เขาและเธอคือรักครั้งแรกของกันและกัน เติบโตและผ่านเรื่องราวมากมายมาด้วยกันในวัยมัธยมซึ่งเริ่มต้นขึ้นในช่วงปลายยุคอานาล็อกปีค.ศ. 1999 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่เพลงฮิตของอูทาดะ ฮิคารุเปิดตัว
แต่แล้วความรักที่เคยงดงามและเบ่งบานก็แปรผันไป เมื่อยาเอะไม่สามารถเป็นแอร์โฮสเตสได้อย่างตั้งใจ ส่วนยามิกิก็ต้องจากไปเมื่อเขาได้เข้าบรรจุในกองทัพอากาศญี่ปุ่น ในตำแหน่งนักบินของกองกำลังป้องกันตนเอง ความผันแปรในชีวิตพัดพาให้ทั้งสองต้องเติบโตและแยกจากกัน ก่อนจะนำพาให้เขาและเธอได้กลับคืนมาพบกันอีกครั้งในหลายสิบปีต่อมา หลังจากนามิกิตัดสินใจวางมือจากการเป็นนักบิน
ซีรีส์เรื่องนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังรักญี่ปุ่นยุค 90s ที่หลายคนโหยหา ทั้งภาพและเรื่องราวที่ชวนให้นึกถึงบรรยากาศแบบเดียวกับหนังรักญี่ปุ่นเก่าๆ ที่เราเคยประทับใจอย่าง Love Letter (1995) และ All About Lily Chou-Chou (2001) ของชุนจิ อิวาอิ (Iwai Shunji) รวมไปถึงช่วงเวลาในยุคอานาล็อกที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ในแบบฉบับของยุคนั้น ทำให้เรื่องราวที่ซีรีส์เล่ามีจุดร่วมหลายอย่างที่ผู้ชมจะสามารถเชื่อมโยงกับประสบการณ์ส่วนตัวได้อย่างไม่ยากเย็น
การหยิบเอาเพลงรักตลอดกาลของอูทาดะ ฮิคารุ มาใช้เป็นเบื้องหลังแรงบันดาลใจก็ชวนให้ผู้ชมนึกถึงช่วงเวลาเก่าๆ ของตนเองในยุคเดียวกันที่เพลงฮิตนี้โด่งดังถึงขีดสุด จึงไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ซีรีส์เรื่องนี้จะตอบโจทย์ความเป็นหนังรักแนวนอสแทลเจีย (nostalgia) ที่ชวนให้ผู้ชมซาบซึ้งและเสียน้ำตาไปกับความอ่อนไหวและโชคชะตาที่แปรผันได้ง่ายๆ ด้วยจังหวะจะโคนการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างดูง่าย ไม่หวานเลี่ยนหรือโศกเศร้าฟูมฟายจนเกินพอดี
นอกจากนั้นการเล่าเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากอดีตมาสู่ปัจจุบัน ก็ทำให้เรามองเห็นถึงพัฒนาการและความโด่งดังของอูทาดะ ฮิคารุได้อย่างชัดเจน นับตั้งแต่เธอเปิดตัวด้วยเพลงดังอย่าง First Love ที่เธอเขียนเนื้อเพลงด้วยตนเองในวัย 15 ปี และโด่งดังอย่างถึงขีดสุดไปทั่วโลกด้วยวัยเพียง 16 ปี
การที่เนื้อเรื่องปัจจุบันของซีรีส์ดำเนินไปในช่วงปีค.ศ. 2018 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่อูทาดะ ฮิคารุ ได้นำเสนอเพลง Hatsukoi ออกมา โดยเนื้อหาของเพลงพูดถึงการย้อนกลับไปมองความรักครั้งแรกอีกครั้ง ในช่วงวัย 35 ปีที่เธอผ่านการแต่งงานและหย่าร้างมาแล้ว ซีรีส์จึงไม่เพียงเล่าถึงการเติบโตของตัวละครนำทั้งสองเท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดมุมมองและการเติบโตของนักร้องสาวผู้นี้ไปพร้อมกัน
แต่ความพิเศษของซีรีส์ชุดนี้ คือนอกจากการรวมทั้งไอเท่มฮิตปลายยุคอานาล็อคอย่างเทปคาสเซ็ตต์ ม้วนวีดีโอ VHS ซึ่งเป็นเสมือนเช็คลิสต์ที่ภาพยนตร์และซีรีส์แนวย้อนวัยแทบทุกเรื่องต้องมี มันยังแอบเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ทางการเมืองของญี่ปุ่นสอดแทรกไว้ เช่นเหตุการณ์ในปีค.ศ. 2004 ในตอนที่รัฐบาลญี่ปุ่นในสมัยของนายกจุนอิจิโร โคอิซูมิ ส่งกองกำลังปกป้องตนเองไปยังอิรักเพื่อสนับสนุนการโจมตีของสหรัฐอเมริกา และทำให้ยามิกิซึ่งเป็นนักบินในกองกำลังป้องกันตนเองทางอากาศต้องเดินทางไปร่วมรบด้วย
หรือการหยิบเอาวิกฤตโรคระบาด Covid-19 และการปิดน่านฟ้า งดเดินทางไปต่างประเทศเพื่อป้องกันโรคมาเล่าผ่านตัวละครยาเอะและความฝันของเธอในการเป็นแอร์โฮสเตส ก็นับเป็นการบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคปัจจุบันอย่างน่าสนใจ และน่าจะให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปอย่างแน่นอน เมื่อเราได้กลับมาย้อนชมซีรีส์ชุดนี้อีกครั้งในอนาคตหลังจากนี้สัก 10 หรือ 20 ปีข้างหน้า
โดยซีรีส์เรื่องนี้ได้ยูริ คันชิคุ (Yuri Kanchiku) เจ้าของผลงานสารคดีวงไอดอล Documentary of AKB48: To Be Continued (2011) และ Documentary of AKB48: 1mm saki no mirai (2011) มารับหน้าที่ผู้กำกับและเขียนบท ซึ่งก็อาจเรียกได้ว่าผลงานเรื่องนี้กลายเป็นผลงานเด่นของยูริ คันชิคุ ที่จะถูกกล่าวถึงไปอีกนาน เพราะนอกจากงานภาพที่เต็มไปด้วยองค์ประกอบศิลป์ที่งดงาม ละเมียดละไม ถ่ายทอดเรื่องราวความสัมพันธ์และการก้าวพ้นวัยออกมาได้อย่างตราตรึงใจ การกำกับการแสดงของนักแสดงทั้งสองช่วงวัยก็ทำให้ผู้ชมเชื่อและเข้าถึงเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาได้ไม่ยาก
แม้จังหวะการเล่าเรื่องจะเป็นไปอย่างเนิบช้าตามประสาหนังญี่ปุ่นแบบสโลว์เบิร์น (Slowburn คือการค่อยๆ เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นของตัวละครอย่างเชื่องช้า ค่อยๆ พาผู้ชมไต่ระดับอารมณ์ไปพร้อมกับตัวละครในเรื่อง) แต่การแสดงและเคมีของสองตัวละครหลักก็โดดเด่นมากพอที่จะทำให้ผู้ชมสามารถใช้เวลาและอินไปกับเรื่องราวในซีรีส์ได้โดยที่ไม่เบื่อไปเสียก่อน
เรียกว่าถ้าใครมองหาซีรีส์ญี่ปุ่นที่ให้บรรยากาศแบบภาพยนตร์ญี่ปุ่นยุค 90s หรือโหยหาหนังรักที่อบอุ่น เปลี่ยวเหงา และชวนให้เสียน้ำตา ซีรีส์เรื่องนี้บน Netflix อาจเป็นสิ่งที่คุณกำลังมองหาอยู่ก็เป็นได้
CREDIT:
PHOTOS: COURTESY OF NETFLIX
อ่านเรื่องราวที่น่าสนใจอื่นๆ ได้บน Padthai.co
- IU ประกาศเลิกร้องเพลงซิกเนเจอร์ Good Day และ Palette ต่อหน้าผู้ชม 44,000 คนในคอนเสิร์ต IU The Golden Hour 2022 : under the orange sun คอนเสิร์ตฉลองครบรอบเดบิวต์ 14 ปี
- Pink Venom แผลงฤทธิ์! Blackpink คัมแบ็กสุดปัง ทุบสถิติ 100 ล้านวิวภายในเวลาเพียง 30 ชั่วโมง นำเสนอมิวสิควีดีโอ Pink Venom พรี-ซิงเกิ้ลสุดร้อนแรงจากอัลบัม BORN PINK และการกลับคืนบัลลังก์อีกครั้งของราชินีผู้พาวงการ K-POP ไปสู่ระดับโลก
- ลองฟัง: NIRUN (นิรันดร์) ผลงานใหม่จาก Txrbo และการร่วมงานกับ BAY6IX และ LALA สองศิลปินจากสปป.ลาวในโปรเจค ASEAN SOUND โปรเจกต์เชื่อมสัมพันธ์วงการเพลงไทยไปสู่ตลาดเพลงโลก ของค่ายเพลง High Cloud Entertainment
- เปิดสองเรื่องเล่าจากถ้ำหลวงใน Thirteen Lives : สิบสามชีวิต และ Thai Cave Rescue ถ้ำหลวง: ภารกิจแห่งความหวัง 2 ผลงานใหม่บนสตรีมมิ่งเจ้ายักษ์ Netflix และ Disney+ Hotstar ที่สร้างจากเรื่องจริงของเหตุการณ์ภารกิจกู้ชีพนักกีฬาและโค้ชรวม 13 ชีวิตจากทีมฟุตบอลหมูป่าอคาเดมี ที่ถ้ำหลวงขุนน้ำนางนอน จังหวัดเชียงราย ในปีค.ศ. 2018
- Squid Game กวาด 6 รางวัลจาก Emmy Awards อีจองแจคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เตรียมโกอินเตอร์ร่วมงาน Lucus Film ผู้กำกับเผย อยากชวนลีโอนาโด ดิคาปริโอมาร่วมแสดงรับเชิญในภาค 3 ที่กำลังอยู่ระหว่างการเขียนบท