แฟนๆ การแข่งขันรถสุดคลาสสิกระดับตำนานอย่างรายการ 1000 Miglia เตรียมที่จะได้ครอบครองนาฬิการุ่นใหม่ที่ดึงแรงบันดาลใจมาจากการแข่งขันบนเส้นทางอันสวยงามที่สุดในโลกนี้กันอีกครั้ง กับผลงานล่าสุดของ Chopard Mille Miglia Classic Chronograph Raticosa
Chopard: New Mille Miglia Classic Chronograph Raticosa ขึ้นชื่อว่าเป็น “The world’s most beautiful race” ระดับตำนานของการแข่งขันรถสุดคลาสสิกสำหรับรายการ มิลเล มิญลิยา (Mille Miglia) หรือ 1000 Miglia หรือที่เรารู้จักกันว่าการแข่งขัน ‘1,000 ไมล์’ ที่เริ่มต้นขึ้นมาอย่างยาวนานนับจากการจัดการแข่งขันขึ้นครั้งแรกในปีค.ศ. 1927 โดยกลุ่มนักขับชาวอิตาลี และมีเส้นทางการแข่งขันอันยาวไกลบนระยะทางทั้งหมดประมาณ 1,000 ไมล์ หรือราว 1,600 กิโลเมตร โดยการแข่งขันยังคงจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องจวบจนถึงปีค.ศ. 1957 ที่ได้หยุดลงด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ก่อนจะหวนกลับมาอีกครั้งในอีก 20 ปีต่อมา ด้วยชื่อ มิลเล มิญลิยา สตอริกา (Mille Miglia Storica) และเป็นการแข่งขันที่สำรองไว้สำหรับรถรุ่นประวัติศาสตร์ที่ผลิตและเคยเข้าร่วมการแข่งขันในช่วงระหว่างปีค.ศ. 1927 ถึง 1957 นับจากนั้นเป็นต้นมา ที่แม้ว่าในแต่ละปีอาจมีเส้นทางการแข่งขันที่แตกต่างกันออกไป แต่จวบจนถึงวันนี้ 1000 Miglia ก็ยังคงไว้ด้วยสองคุณสมบัติเด่นที่ทำให้การแข่งขันนี้แตกต่างไปจากรายการอื่นๆ นั่นคือ ระยะทาง 1,000 ไมล์บนท้องถนนที่รายล้อมไปด้วยผู้ชมและทิวทัศน์อันสวยงามสองข้างทาง รวมทั้งการแสดงออกถึงศิลปะการใช้ชีวิตแบบชาวอิตาลีที่ไม่อาจแยกออกจากจิตวิญญาณการแข่งขันนี้ได้ จึงไม่น่าแน่แปลกใจที่คนทั่วโลกจะรู้จักและคุ้นเคยกับชื่อการแข่งขันนี้เป็นอย่างดี และถือเป็นอีกหนึ่งตำนานการแข่งขันสุดคลาสสิกที่ทั่วโลกจดจำ
กระทั่งในปีค.ศ. 1988 โชพารด์ (Chopard) ได้เข้ามาสวมสองบทบาทสำคัญในการแข่งขันระดับตำนานอย่าง 1000 Miglia นั่นคือในฐานะพันธมิตร (Partner) และผู้จับเวลาอย่างเป็นทางการ (Official Timekeeper) ให้กับการแข่งขันอันโด่งดังนี้ โดยการนำของ Karl-Friedrich Scheufele ประธานร่วมของ Chopard ณ ปัจจุบัน ผู้ซึ่งหลงใหลในรถคลาสสิก และผลักดันให้ Chopard ได้กลายเป็นผู้สนับสนุนหลักของการแข่งขันระดับตำนานรายการนี้ ทั้งยังเป็นหนึ่งในนาฬิกาแบรนด์แรกๆ ที่มีชื่อร่วมอยู่ในโลกแห่งยานยนต์และการแข่งขันความเร็วด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ นับตั้งแต่เริ่มต้น Chopard ยังได้รังสรรค์เรือนเวลาสุดพิเศษที่มีชื่อเดียวกันว่า Mille Miglia Collection ซึ่งประกอบด้วยนาฬิการุ่นคลาสสิกต่างๆ ที่ล้วนได้แรงบันดาลใจมาจากรหัสงานออกแบบและความสง่างามของรถแข่งรุ่นประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ เช่นในสมาชิกของนาฬิการุ่น Mille Miglia Classic ที่ได้ต้นแบบการสร้างสรรค์มาจากรถซึ่งลงแข่งขันในช่วงปีค.ศ. 1927-1940 ไปจนถึงนาฬิการุ่น Mille Miglia GTS ที่เป็นการตีความใหม่ให้กับคุณสมบัติงานออกแบบของรถรุ่นต่อๆ มาในช่วงปีค.ศ. 1941-1957 โดยในแต่ละปีและในการแข่งขันแต่ละครั้ง Chopard ได้เผยโฉมนาฬิการุ่นพิเศษขึ้นให้กับการแข่งขันครั้งนั้นๆ สืบเนื่องต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน
เช่นเดียวกับการแข่งขันครั้งล่าสุดของปีค.ศ. 2021 ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16-19 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยปีนี้ Chopard ได้เปิดตัวนาฬิการุ่นใหม่ของ Mille Miglia GTS มาแล้วก่อนหน้านี้ รวมถึงล่าสุดกับการเผยโฉมผลงานสุดพิเศษสำหรับนักสะสมโดยเฉพาะ ด้วยรุ่น Mille Miglia Classic Chronograph Raticosa เรือนเวลาที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนึ่งในจุดเส้นทางแห่งตำนานของการแข่งขันอันสวยงามที่สุดในโลกนี้ อย่าง รัตติโกซา พาส (Raticosa Pass) ที่หากย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่ Enzo Ferrari ได้เคยกล่าวไว้ว่า “You win the 1000 Miglia race at the Raticosa Pass.” ก็บ่งบอกได้ถึงการเป็นเส้นทางจุดสำคัญสูงสุดในการแข่งขันชื่อดังรายการนี้ เช่นเดียวกันกับที่ Jacky Ickx นักขับระดับตำนานเคยกล่าวไว้ด้วยว่า “The Raticosa Pass is a unique place where you recognise the real gentlemen drivers.” และวันนี้เองที่ Chopard ได้อุทิศนาฬิการุ่นพิเศษแห่งปีของตนให้กับเส้นทางระดับตำนานด้วยเช่นกัน
Mille Miglia Classic Chronograph Raticosa จะผลิตขึ้นในสองซีรีส์และมีจำนวนจำกัดเพียงซีรีส์ละ 500 เรือน
โดย Mille Miglia Classic Chronograph Raticosa จะผลิตขึ้นในสองซีรีส์และมีจำนวนจำกัดเพียงซีรีส์ละ 500 เรือน ประกอบด้วยรุ่นซึ่งมาพร้อมหน้าปัดสีดำ หรือรุ่นหน้าปัดสีออฟไวท์ และฝาหลังแบบเปิดเปลือยด้วยกระจกแซฟไฟร์ใส เผยให้เห็นเครื่องกลไกจักรกลอันเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ที่ผ่านประกาศนียบัตรรับรองโดย COSC เรือนเวลาสำหรับนักสะสมรุ่นนี้ยังได้ร่วมสะท้อนถึงสัมพันธภาพอันยาวนานและแน่นแฟ้นที่ยังคงเดินหน้าต่อไประหว่าง Chopard และการแข่งขัน 1000 Miglia
ณ จุด Raticosa Pass อันเลื่องชื่อนี้อยู่เหนือระดับน้ำทะเลขึ้นไปเกือบ 1,000 เมตร และเป็นถนนที่มุ่งหน้าไปทางตอนเหนือจากฟลอเรนซ์ถึงโบโลนญ่า และข้ามผ่านเทือกเขาอัลไพน์ จากทัสคานีถึงเอมีเลีย-โรมัญญาทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี โดยเป็นพื้นที่ที่รู้จักกันว่าเป็น ‘supercar country’ ซึ่งได้มาจากการเชื่อมโยงกับเหล่าผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังมากมาย อย่าง Maserati และ Lamborghini รวมถึงมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์รถยนต์อันยิ่งใหญ่ และเส้นทางนี้เคยพิชิตสถิติไว้โดยสองนักขับผู้เป็นไอคอนิกของการแข่งขันทั้ง Stirling Moss และ Denis Jenkinson ที่เคยฝากชัยชนะสุดโด่งดังไว้ในการแข่งขันปีค.ศ. 1955 ของ 1000 Miglia จนกลายเป็นที่จดจำของวงการแข่งขันรถคลาสสิก
จากความเร็วและสถิติที่ต้องอาศัยความเที่ยงตรงแม่นยำของการจับเวลานี้เองที่ Chopard ได้นำมาประยุกต์ใช้ในนาฬิการุ่นใหม่ของ Mille Miglia Classic Chronograph Raticosa ด้วยการขับเคลื่อนของกลไกจักรกลโครโนกราฟเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ผ่านประกาศนียบัตรรับรองโดย COSC จากการทำงานความถี่ 4 เฮิรตซ์ และสำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง แสดงผลการจับเวลาไว้บนหน้าปัดอย่างชัดเจน ผ่านหน้าปัดย่อยจับเวลา 30 นาที ที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และหน้าปัดย่อยจับเวลาชั่วโมง ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ส่วนหน้าปัดย่อยที่ 3 นาฬิกาแสดงวินาที พร้อมทั้งวันที่แสดงผ่านช่องหน้าต่างซึ่งจัดวางไว้ระหว่างตำแหน่ง 4 และ 5 นาฬิกา และสเกลทาคีมิเตอร์ภายในขอบตัวเรือนด้านในสำหรับใช้คำนวณวัดระยะทางของเหล่านักขับ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในคุณสมบัติเด่นของบรรดานาฬิกาแห่งการแข่งขันความเร็วโดยเฉพาะ
มอบไว้สำหรับเป็นตัวเลือกของสุภาพบุรุษที่หลงใหลในเรื่องราวการแข่งขันความเร็วและรถคลาสสิก รวมถึงรายการแข่งขันระดับตำนานอย่าง 1000 Miglia ตัวจริง ซึ่งรุ่นนี้ถ่ายทอดด้วยรูปลักษณ์สปอร์ตคลาสสิกร่วมสมัยของตัวเรือนสเตนเลสสตีล ขนาด 42.0 มิลลิเมตร กันน้ำได้ลึกระดับ 50 เมตร และรับประกันได้ถึงความแข็งแกร่งทนทาน ด้วยรูปทรงที่รับไปกับข้อมือของเหล่านักขับ ขณะที่หน้าปัดยังปกป้องด้วยกระจกแซฟไฟร์กันแสงสะท้อนที่ผสมผสานเข้ากับประโยชน์การใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์แบบ สุดท้ายยังจับคู่มากับความสวยงามลงตัวของสายหนังวัวสีน้ำตาลเชสนัท ประกบเข้ากับยางสีดำที่ได้แรงบันดาลใจมาจากลายดอกยางล้อรถแข่ง Dunlop ยุค 1960s สะท้อนถึงความหลงใหลของ Chopard ที่มีต่อรถคลาสสิกระดับตำนาน
ส่วนหน้าปัดซึ่งมีสองเวอร์ชั่นระหว่างสีดำหรือสีออฟไวท์ ตกแต่งด้วยตัวเลขอารบิคปรากฏด้วยเฉดสีเดียวกันของสีเบจ รับไปกับเข็มชี้และงานเย็บตะเข็บสาย ขณะที่ฝาหลังแบบเปลือยใสด้วยกระจกแซฟไฟร์โชว์โลโก้ 1000 Miglia และข้อความ Raticosa เพื่อจารึกถึงเส้นทางการแข่งขันอันน่าตื่นเต้นสูงสุดของอิตาลีและเป็นตำนานอันน่าจดจำตลอดกาล
ผลงานซีรีส์ใหม่ล่าสุดนี้รังสรรค์ขึ้นพิเศษสำหรับนักสะสมที่หลงใหลในตำนานแห่ง 1000 Miglia อย่างแท้จริง ด้วยการผลิตจำนวนจำกัดเพียงซีรีส์ละ 500 เรือน พร้อมทั้งถ่ายทอดด้วยจิตวิญญาณการแข่งขันความเร็วสุดลาสสิก ที่ส่งมอบไปพร้อมกับเรือนเวลาที่ออกแบบและสร้างสรรค์ได้อย่างสวยงามร่วมสมัยและเหนือกาลเวลา
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF Chopard
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
MUSIC: https://www.chosic.com
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่