ปลุกตำนานนาฬิกาโครโนกราฟชื่อดัง อย่าง Mille Miglia Classic Chronograph สู่ทายาทรุ่นเอกซ์คลูซีฟใหม่ของ Chopard Mille Miglia Bamford Edition
Chopard Mille Miglia Bamford Limited Edition เป็นอีกครั้งที่ Chopard (โชพาร์ด) ได้นำตำนานชื่อดังของตนมาผสมผสานเข้ากับแนวคิดสร้างสรรค์ และยังเป็นการทำงานร่วมกันกับ Bamford Watch Department เพื่อรังสรรค์ผลงานรุ่นพิเศษใหม่ล่าสุดของ Mille Miglia Bamford Edition ที่บรรดาสุภาพบุรุษนักขับต้องมี!
นาฬิกา must-have รุ่นนี้ได้รับแรงบันดาลใจและต้นตำรับความคลาสสิกมาจากรุ่นดังในตำนานอย่าง Mille Miglia Classic Chronograph ของ Chopard ซึ่งแน่นอนว่ายังคงสไตล์สปอร์ตและร่วมสมัยไว้ได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทว่า ด้วยเพราะเป็นเอดิชั่นเอกซ์คลูซีฟสุดๆ จึงผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 33 เรือนเท่านั้น
โดยมาพร้อมรูปลักษณ์โดดเด่นที่เป็นต้นตำรับของนาฬิกา Mille Miglia ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน เช่นตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 42.0 มิลลิเมตร ซึ่งหนา 12.67 มิลลิเมตร ที่ทำจากสเตนเลสสตีลเคลือบ Diamond Like Carbon หรือ DLC ขัดแต่งแบบบีดบลาสต์ พร้อมทั้งเติมความสง่างามด้วยสายยางตกแต่งลายผ้าคอร์ดูราที่ช่วยให้มั่นใจได้ถึงความสะดวกสบายในการสวมใส่ รวมถึงหน้าปัดสีเทาเข้มที่ตั้งใจรังสรรค์ขึ้นสำหรับการอ่านค่าเวลาได้อย่างชัดเจนจากการเป็นพื้นหลังที่ตัดกับเครื่องหมายบอกเวลาและเข็มจับเวลาเฉดสีส้มแบบสปอร์ต ทั้งยังอ่านค่าได้ง่ายดายและแม่นยำ
งานออกแบบนาฬิการุ่นเอกซ์คลูซีฟนี้นับเป็นความร่วมมือกันระหว่าง Karl-Friedrich Scheufele ประธานร่วมของ Chopard และ George Bamford ผู้ก่อตั้งแห่ง Bamford Watch Department (BWD) ซึ่งเป็นผู้นำในตลาดโลกของการสร้างสรรค์นาฬิกาแบบ customisation ที่ถือกำเนิดขึ้นด้วยความปรารถนาที่จะปลุกฟื้นและค้นพบศิลปะแห่งการรังสรรค์นาฬิกาตามความต้องการเฉพาะบุคคลหรือ personalisation อีกครั้ง นั่นทำให้แต่ละรายละเอียดที่ปรากฏในผลงานรุ่นนี้ล้วนมาจากความเอาใจใส่และนำเสนอไว้ด้วยงานฝีมือ ความเชี่ยวชาญ และคุณภาพในการสร้างสรรค์ผลงานของทั้งคู่ ที่แสดงออกผ่านนาฬิกาสปอร์ตคลาสสิกสวยเด่นอีกหนึ่งรุ่นสำหรับคอลเลกชั่น Mille Miglia โดย Chopard
โดยเฉพาะความโดดเด่นสะดุดตาที่ได้มาจากการผสมผสานระหว่างสีดำ สีเทาเข้ม และสีส้ม อย่างลงตัวภายในตัวเรือนนาฬิกาซึ่งทำจากสเตนเลสสตีลเคลือบ DLC สีดำ รวมถึงโทนสีเทาเข้มที่มักพบได้บ่อยๆ เช่นกันในบรรดารถวินเทจ นอกจากนี้การเลือกใช้สเตนเลสสตีลเคลือบ DLC ยังช่วยให้สามารถป้องกันรอยขีดข่วนได้อย่างดีเยี่ยม อันเป็นคุณสมบัติหลักสำคัญสำหรับนาฬิกาสปอร์ตที่ต้องออกไปผจญภัยบนสนามคู่กับเหล่านักแข่งนั่นเอง ส่วนบนด้านข้างตัวเรือนติดตั้งด้วยเม็ดมะยมซึ่งแกะสลักด้วยรูปพวงมาลัยควบคุม และขนาบข้างด้วยปุ่มกดทรงลูกสูบสองปุ่มที่ชวนให้หวนนึกไปถึงแรงบันดาลใจอันเป็นที่มาของคอลเลกชั่นนี้
อีกหนึ่งจุดเด่นของงานดีไซน์ภายในรุ่นนี้ก็คือหูตัวเรือนเชื่อมกับสายที่ปรับให้สั้นลง เพื่อช่วยให้กระชับรับไปกับข้อมือได้ดียิ่งขึ้น เหมือนกันกับสายยางสีดำตกแต่งลายผ้าคอร์ดูราบ่งบอกถึงความทนทานสูงและเย็บตะเข็บด้วยสีส้ม รวมทั้งเดินสายด้วยหนังวัวสีส้มเดียวกัน สำหรับรุ่นนี้ยังคงประสิทธิภาพของการกันน้ำได้ลึก 50 เมตร จากเม็ดมะยมแบบหมุนเกลียวล็อกที่ทำจากสเตนเลสสตีลเคลือบ DLC เช่นกัน
ส่วนบนหน้าปัด นอกจากจะตั้งใจให้เกิดภาพที่ตัดกันและอ่านค่าได้ชัดเจนจากการผสมผสานระหว่างสีเทาเข้มแบบด้านบนหน้าปัดกลาง กับเครื่องหมายต่างๆ ที่เป็นสีส้ม รวมไปถึงเข็มวินาที เข็มจับเวลาและบนหน้าปัดย่อยจับเวลาโครโนกราฟ แต่เมื่อมองโดยรวมแล้วกลับเป็นภาพลักษณ์ที่ดูลงตัวและสะท้อนความเป็นนาฬิกาสปอร์ตร่วมสมัยได้ดีทีเดียว ทั้งยังเสริมไว้ด้วยสเกลทาคีมิเตอร์ (tachymeter) สำหรับใช้คำนวณวัดความเร็วของเหล่านักแข่งที่รุ่นนี้บรรจุไว้บนวงแหวนขอบหน้าปัดด้านใน กับสเกลสีส้มบนพื้นหลังสีดำเพื่อช่วยให้อ่านค่าได้อย่างชัดเจน ขณะที่ช่องหน้าต่างแสดงวันที่อยู่ระหว่างตำแหน่ง 4 และ 5 นาฬิกา ก็สามารถอ่านค่าได้ชัดเจนเช่นกัน ส่วนบนตัวเลขอารบิกบอกชั่วโมงและเข็มชี้กลางทรงบาตอง (baton-type) วาดด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova® สีเทาที่เรืองแสงสีเขียว
นอกจากสไตล์สปอร์ตที่ดูลงตัวกับไลฟ์สไตล์ของเหล่าสุภาพบุรุษนักขับแล้ว ภายในยังเสริมด้วยสมรรถนะของกลไกจักรกลโครโนกราฟเที่ยงตรงแม่นยำสูง ผ่านประกาศนียบัตรรับรองระดับโครโนมิเตอร์โดย Swiss Official Chronometer Testing Institute (COSC) โดยเป็นการทำงานของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติโครโนกราฟ ความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง หรือ 4 เฮิรตซ์ สำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง ทำหน้าที่ขับเคลื่อนทั้งการแสดงชั่วโมง นาที วินาที การจับเวลา วันที่ พร้อมทั้งฟังก์ชั่นหยุดวินาทีเพื่อการปรับตั้งเวลาได้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำสูง รวมถึงการคำนวณความเร็วและระยะทางที่จำเป็นต้องใช้สำหรับเหล่านักแข่งรถแรลลี่อีกด้วย และสำหรับนักสะสมที่หลงใหลในเรื่องราวของกลไกจักรกลด้วยแล้วก็ยังสามารถมองเห็น ‘เครื่องยนต์’ ของนาฬิการุ่นนี้ได้ผ่านทางฝาหลังกระจกคริสตัลแซฟไฟร์รมดำ พร้อมทั้งบรรจุด้วยการแกะสลักสัญลักษณ์โลโก้ลูกศร 1000 Miglia อันเป็นไอคอนิกและคำว่า ‘Bamford Limited Edition’
นาฬิการุ่นนี้จึงสะท้อนถึงความหลงใหลของ Chopard โดยเฉพาะ Karl-Friedrich Scheufele ประธานร่วมของแบรนด์ที่เขาเองนั้นถือเป็นแฟนตัวยงของการแข่งขันรถคลาสสิกมาโดยตลอด ซึ่งไม่เพียงเข้าร่วมในการรายการแข่งขันสำคัญๆ มาแล้ว แต่ยังได้แสดงออกถึงความหลงใหลนี้ไว้ในคอลเลกชั่นนาฬิการะดับไอคอนิกอย่าง Mille Miglia มาอย่างต่อเนื่องด้วย และหนึ่งในคอลเลกชั่นระดับตำนานนั้นก็ต้องยกให้กับ Mille Miglia Classic Chronograph ผลงานเรือนเวลาที่ออกแบบขึ้นสำหรับการจับวัดเวลาการแข่งขันความเร็วต่างๆ โดย Chopard เองได้สร้างสรรค์สมาชิกนาฬิการุ่นต่างๆ ของคอลเลกชั่นนี้มาอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี นับจากปี ค.ศ. 1988 ที่แบรนด์ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับ 1000 Miglia พร้อมทั้งเผยโฉมเรือนเวลาจักรกลที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำสูง พร้อมด้วยงานออกแบบสไตล์สปอร์ร่วมสมัยที่อุทิศให้กับยุคทองของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตเสมอมา
จากตำนานอันยาวนาน บวกกับการเปิดตัวทายาทรุ่นใหม่ๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานร่วมกับ Bamford Watch Department ในครั้งนี้ยังแสดงออกถึงความหลงใหลที่แบรนด์มีต่อการประดิษฐ์สร้างสรรค์เรือนเวลาอันเที่ยงตรงแม่นยำ ที่ผสมผสานอย่างสมบูรณ์แบบไว้ด้วยจิตวิญญาณแห่งการแข่งขันความเร็วอันสวยงามที่สุดของโลก อย่าง 1000 Miglia นั่นเอง
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF CHOPARD
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่