ก่อตั้งขึ้นโดย Karl-Friedrich Scheufele ในปีค.ศ. 1996 จวบจนวันนี้ Chopard Manufacture เฉลิมฉลอง 25 ปี ด้วยผลงานเรือนเวลาสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ยืนยันอีกครั้งถึงความเชื่อมโยงถึงนวัตกรรม การสร้างสรรค์ และความอิสระอย่างแท้จริง
Chopard 25 Years of Watchmaking Mastery จะว่าไปแล้ว การเดินทางของ Karl-Friedrich Scheufele (คาร์ล ฟรีดริช ชอยเฟเล) ประธานร่วมแห่งโชปารด์ (Chopard) นั้น เต็มไปด้วยความบากบั่นทุ่มเทให้กับการสืบทอดซึ่งประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาสวิสอันยิ่งใหญ่ และเป็นเวลากว่าสองทศวรรษที่ Karl-Friedrich (เอกุย ดอร์) ไม่ยอมลดละกับการเผชิญหน้าด้วยทุกอุปสรรค จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1996 ที่เขาได้ก่อตั้งโรงงานการผลิตแห่ง Chopard Manufacture ขึ้นในฐานะก้าวแรกและก้าวสำคัญที่สานต่อวิสัยทัศน์ในการผลิตกลไกขึ้นด้วยตนเองและภายในโรงงานของตนเอง ที่นั่นได้นำทางมาสู่การสร้างสรรค์ซึ่งนวัตกรรมอันแสนพิเศษในทุกๆ การรังสรรค์ความสลับซับซ้อนชั้นสูงให้เป็นที่ประจักษ์ ทั้งยังคว้ารางวัลอันทรงเกียรติของอุตสาหกรรมมาแล้วมากมายซึ่งนั่นรวมไปถึงรางวัลใหญ่ในปีค.ศ. 2017 จากเวที Grand Prix d’Horlogerie de Genève (กรองด์ พรีซ์ ดอร์ลอเชอรี เดอ เชอเนฟ) (GPHG) อย่างรางวัล Aiguille d’Or ซึ่งมอบให้กับนาฬิการุ่นเอกที่เป็นผลงานสร้างสรรค์ของเขาและโรงงานแห่งนี้ นั่นคือ L.U.C Full Strike ผลงานรุ่นทายาทของกลไกจักรกลสลับซับซ้อนสูง อย่างระบบตีระฆังบอกเวลา หรือ minute repeater โดยการใช้ฆ้องคริสตัลแซฟไฟร์เป็นครั้งแรกในโลก ทว่า นั่นไม่ใช่ความสำเร็จที่จะหยุดยั้งซึ่งการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องของ Karl-Friedrich ที่ได้เติมเต็มความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของเขาตลอด 25 ปี ในการประดิษฐ์คิดค้นกลไกจักรกลขึ้นด้วยนวัตกรรมทางเทคนิคที่ไม่อาจเทียบเคียงได้ พร้อมทั้งผสมผสานเข้ากับคุณภาพและความสวยงามอันเหนือล้ำ รวมไปถึงการได้รับประกาศนียบัตร COSC และ Poinçon de Genève (ปวงซง เดอเชอเนฟ) อันทรงเกียรติ ด้วยแรงบันดาลใจแห่งความซื่อสัตย์ ความเป็นของแท้และเป็นตำรับ ที่เขาเองสืบทอดมาจาก Karl และ Karin Scheufele บิดาและมารดา ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่นำทางมาสู่การแสดงออกถึงความสมบูรณ์พร้อมอันยิ่งใหญ่ผ่านหลากหลายผลงานของเขา
ณ ต้นทศวรรษ 1990s เส้นทางของเขานั้นชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อ Karl-Friedrich Scheufele ได้มองเห็นว่า หากจะทำให้ Chopard เป็นแบรนด์ช่างนาฬิกาผู้ยิ่งใหญได้นั้น เขาจำเป็นต้องเปลี่ยนรูปเมซงแห่งนี้ไปสู่ “โรงงานการผลิต” (Manufacture) ที่สามารถผลิตกลไกของตนเองขึ้นด้วยคุณภาพ ความซับซ้อน และคุณสมบัติเฉพาะ ซึ่ง ณ ช่วงเวลานั้น ถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงเวลาซึ่งอยู่ท่ามกลางยุคที่โลกของการประดิษฐ์นาฬิกาสวิสเพิ่งกำลังฟื้นตัวจากวิกฤตการณ์ควอตซ์ หรือ Quartz Crisis จากปลายยุค 1980s และเมื่อเริ่มเข้าสู่ต้นยุค ’90s โรงงานการผลิตเพียงไม่กี่แห่งที่พร้อมและเตรียมตัวเป็นอย่างดี ก็ได้เริ่มต้นผลิตกลไกคาลิเบอร์ของตนเองขึ้น ขณะที่เมซงชื่อดังส่วนใหญ่ยังคงไว้วางใจและพึ่งพาโรงงานการผลิตเฉพาะมาเป็นพันธมิตรในการผลิตกลไกมากกว่า
Chopard: 25 Years of Watchmaking Mastery
จึงนับเป็นการคาดการณ์ล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ ที่ Karl-Friedrich Scheufele มองเห็นถึงเส้นทางการเป็น “ผู้ผลิต” ที่จะมีเพียงวิธีเดียวสำหรับ Chopard นั่นคือการเป็นแบรนด์อิสระในฐานะช่างนาฬิการายหนึ่งอย่างแท้จริงเท่านั้น และเพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายและความตั้งใจนี้ เขาจึงได้ตั้งปณิธานและปรัชญาสูงสุดสู่การเป็น “the masters of our own destiny” ผู้ลิขิตเส้นทางของแบรนด์ได้ด้วยตนเอง และเขายังรู้ดีว่า กลไกชุดแรกๆ ที่สร้างสรรค์ขึ้นนั้นจะกลายเป็นสัญลักษณ์สู่เส้นทางใหม่ของ Chopard ซึ่งนั่นนำมาสู่การสร้างสรรค์คอลเลกชั่น L.U.C รวมถึงสร้างมาตรฐานอันรุ่มรวยให้กับประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาที่ยังคงสืบทอดต่อกันมาอย่างมั่นคง แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ประธานร่วมแห่ง Chopard ได้สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อนำทางสู่การเป็นแบรนด์เครื่องบอกเวลาอันยิ่งใหญ่สูงสุดนั้น ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นและเผยโฉมต่อสายตาสาธารณชนทั่วโลกในปี ค.ศ. 1996 หรือเมื่อ 25 ปี ก่อน กับการเปิดตัวของ Chopard Manufacture ณ เฟลอริเยร์ (Fleurier) สวิตเซอร์แลนด์
กระทั่ง โรงงานการผลิตแห่งนี้ได้เผยโฉมผลิตผลแห่งการวิจัย พัฒนา และผลิตกลไกของตนเองขึ้น ภายใน calibre 1.96 กลไกจักรกลขึ้นลานอัตโนมัติ พร้อมทั้งติดตั้งด้วยไมโครโรเตอร์ (micro-rotor) ทำจากทอง 22K ซึ่งช่วยให้กลไกมีความบางลง และสามารถประกอบภายในตัวเรือนนาฬิกาที่มีขนาดเล็กลงได้ นอกจากนี้ยังมาพร้อมคอนเซ็ปต์ใหม่ของการบรรจุด้วยกระปุกลานคู่ ซึ่งไม่เพียงช่วยขยายการสำรองพลังงานได้นานขึ้น แต่ยังช่วยควบคุมความเสถียรในการทำงานภายในจักรกลได้อีกด้วย จากองค์ประกอบเหล่านี้จึงทำให้ calibre 1.96 เป็นกลไกจักรกลขึ้นลานอัตโนมัติกระปุกลานคู่ชุดแรกของโลก ที่มอบพลังงานสำรองได้ 65 ชั่วโมง บวกกับความหนาของกลไกเพียง 3.3 มิลลิเมตร แต่ยังคงความถี่การทำงานได้ถึง 4 เฮิร์ตซ์ เช่นเดียวกับรังสรรค์ขึ้นด้วยความประณีตงดงามของงานฝีมือการตกแต่งกลไก
ทว่า อีกสิ่งหนึ่งที่ Karl-Friedrich ให้ความสำคัญไม่แพ้กัน คือการผลักดันให้กลไกจักรกลของโรงงานเหล่านี้สามารถผ่านประกาศนียบัตรรับรองด้านความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ของ COSC เช่นเดียวกับบรรจบกับความสมบูรณ์แบบและทรงเกียรติจากการได้รับตราประทับ Poinçoin de Genève ที่รับประกันถึงความล้ำเลิศทั้งด้านคุณภาพและความสวยงามระดับสูงสุดของอุตสาหกรรมเรือนเวลา โดยกลไกชุดนี้ยังได้ติดตั้งภายในผลงาน L.U.C 1860 นาฬิการุ่นแรกที่สร้างสรรค์ขึ้นโดย Chopard Manufacture ในปีค.ศ. 1997 ซึ่งนับเป็นก้าวใหม่อันเข้มแข็งอย่างแท้จริงสู่การเป็นผู้ผลิตนาฬิกาชั้นสูงแห่งยุคสมัยใหม่อันทันสมัย ที่เป็นวิสัยทัศน์ของ Karl-Friedrich Scheufele
นับจากนั้นเป็นต้นมา ตลอดระยะเวลา 25 ปี Chopard Manufacture ได้สร้างชื่อเสียงจากการนำเสนอความสำเร็จทางเทคนิคและกลไกจักรกลขึ้นมากมาย เช่นในปีค.ศ. 2000 ที่ L.U.C Quattro ได้เปิดตัวในฐานะนาฬิการุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมกระปุกลานสี่ตัว และให้ผลลัพธ์เป็นการสำรองพลังงานได้เก้าวัน บวกกับยังคงครองประกาศนียบัตร COSC และ Poinçoin de Genève ไว้ทั้งคู่ หรือในปีค.ศ. 2004 ที่โรงงานแห่งนี้ได้เปิดตัวนาฬิกาทูร์บิญอง (tourbillon) ขึ้นครั้งแรก พร้อมทั้งเทคโนโลยี Quattro จากการติดตั้งกระปุกลานสี่ตัว และบาลานซ์สปริงอิสระทดแรงเฉื่อยแปรผัน “Variner” และโอเวอร์คอยล์แฮร์สปริง ที่ทำให้นี่เป็นนาฬิกาทูร์บิญองซึ่งสามารถทำงานด้วยความถี่สูง 4 เฮิร์ตซ์ และยังคงได้รับประกาศนียบัตร COSC ได้สำเร็จ
กระทั่งในปีค.ศ. 2016 Chopard เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเพียงไม่กี่รายที่มีผลงานนาฬิกาทูร์บิญองซึ่งผ่านประกาศนียบัตรรับรองความเที่ยงตรงระดับโครโนมิเตอร์ นับเป็นอีกก้าวแห่งความสำเร็จที่สืบทอดมาจากเจตนารมณ์และปณิธานอันแน่วแน่มาโดยตลอดของ Karl-Friedrich Scheufele ซึ่งในปีเดียวกันนี้ ยังบรรจบกับการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปี ของ Chopard Manufacture โดยแบรนด์ได้เปิดตัวนาฬิกาเวิลด์ไทม์ (world-time) รุ่นใหม่ รวมถึงต่อมาในปีเดียวกันยังได้เผยโฉมนาฬิการุ่นสุดโด่งดังอย่าง L.U.C Full Strike ในฐานะนาฬิกาตีระฆังบอกเวลา หรือ minute repeater รุ่นแรกของโลกที่มาพร้อมฆ้องผลิตจากคริสตัลแซฟไฟร์ ก่อนจะคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่าง Aiguille d’Or บนเวที Grand Prix d’Horlogerie de Genève (GPHG) ในปีค.ศ. 2017 มาได้สำเร็จ รวมถึงการริเริ่มนโยบายก้าวสำคัญที่เริ่มต้นขึ้นในปีค.ศ. 2018 ที่ Chopard ได้อุทิศให้กับการใช้ทอง ethical gold (ต้นกำเนิดมาจากแหล่งที่มีมาตรฐานถูกต้องตามหลักจริยธรรม บนพื้นฐานของคุณธรรมและมีมนุษยธรรม) 100% ในการผลิตนาฬิกาและเครื่องประดับเวอร์ชั่นทองทั้งหมดของแบรนด์ เพื่อสร้างสรรค์และวางอนาคตให้กับเส้นทางการผลิตนาฬิกาชั้นสูงอย่างยั่งยืน โดยนโยบายนี้ยังคงดำเนินสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับปีค.ศ. 2021 กับการเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี ของ Chopard Manufacture แบรนด์ยังได้ประกาศถึงการเปิดตัวผลงานคอลเลกชั่นเฉลิมฉลองครบรอบสุดพิเศษ โดยเป็นเรือนเวลาเซ็ตพิเศษที่เชื่อมโยงถึงความเชี่ยวชาญในการรังสรรค์เครื่องบอกเวลาชั้นสูง และความสวยงามล้ำเลิศของงานฝีมือ ขณะเดียวกันผลงานเหล่านี้ยังตั้งใจสร้างสรรค์ขึ้นสำหรับนักสะสมโดยเฉพาะ ซึ่งจะเผยโฉมให้ได้ชมกันในเร็วๆ นี้
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF Chopard
MUSIC: www.chosic.com
ART DIRECTOR: Perayut Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่