Cartier เปิดตัว Le Voyage Recommencé คอลเลกชันไฮจิวเวลรี จากเมซงที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการออกเดินทางครั้งใหม่ โดยจัดแสดงครั้งแรก ณ กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี
Cartier Le Voyage Recommencé High Jewelry Collection Cartier เปิดตัว Le Voyage Recommencé คอลเลกชันไฮจิวเวลรี จากเมซงที่ถ่ายทอดเรื่องราวของการออกเดินทางครั้งใหม่ โดยจัดแสดงครั้งแรก ณ กรุงฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี Jacqueline Karachi ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์เครื่องประดับชั้นสูงของ Cartier กล่าวถึงการสร้างสรรค์คอลเลคชันนี้ว่าเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะได้สำรวจลึกลงไปถึงธีมที่เป็นหัวใจของสไตล์ Cartier ด้วยมุมมองใหม่ที่ผ่านการหล่อเลี้ยงจากสปิริตแห่งกาลเวลา ผ่านสายตาร่วมสมัยสายตาร่วมสมัยเพื่อที่จะไปให้ไกลกว่าเดิม นี่คือการเดินทางกลับสู่หัวใจของการรังสรรค์งาน Cartier และเรื่องราวที่เล่าขานผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหยุดนิ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ Cartier มีจุดศูนย์กลางอยู่ที่ความบริสุทธิ์ของเส้นสาย ความสมดุลของรูปทรงและปริมาตร การเล่นกับสัดส่วน และผลลัพธ์ของชิ้นงานที่กลมกลืนในทุกส่วน นี่คือวิสัยทัศน์ทรงพลังที่ถือกำเนิดมาพร้อมกับโครงสร้างแห่งแสงอันบริสุทธิ์ โดย ชิ้นงานจากคอลเลกชัน Le Voyage Recommencé มีดังนี้
สร้อยคอ Sama
มีองค์ประกอบที่ดึงดูดสายตาจากแซฟไฟร์ซีลอนน้ำหนัก 19.27 กะรัต ที่ให้ความรู้สึกของการเคลื่อนไหวอย่างชัดเจน ชุดของนักบวชซูฟีที่เต้นระบำลมวนในพิธีกรรม (whirling dervishes) เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบสร้อยคอที่ประกอบด้วยเส้นโค้งบิดสลับกลับด้านเป็นลวดลายขนาดใหญ่ สลับกับลายอาหรับที่เมื่อแสงตกกระทบจะเกิดประกายเหมือนแสงกำลังเริงระบำ
แหวน Ondule
แหวนวงนี้ประดับเพชรสีเทาอมม่วงไวโอเล็ตน้ำหนัก 0.92 กะรัต ที่โดดเด่นด้วยความหายากของเฉดสีและน้ำหนักของเพชร โดยเฉพาะเมื่อมาอยู่บนหัวแหวนที่ Cartier บรรจงรังสรรค์เป็นประติมากรรมขนาดจิ๋วคล้ายวังวนแห่งแสง ขับเน้นด้วยความโค้งนูนและปริมาตร ฝังเพชร พระจันทร์เสี้ยว ล้อมรอบเพชรเม็ดกลาง ทอประกายเป็นวงรัศมีปริศนาที่เปลี่ยนรูปทรงและความแพรวพราวของน้ำเพชรให้ดูระยับจับตา
สร้อยคอ Claustra
สร้อย Claustra ฝังเพชรหลายขนาดไว้กลางตัวเรือนที่สลับซับซ้อนด้วยเส้นสายที่ไม่เชื่อมต่อกัน โดยมีเพชรเม็ดหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษด้วยน้ำหนัก 4.02 กะรัต ทัศนมิติและการเล่นกับความโค้งนูนยิ่งส่งผลเป็นทวีคูณเมื่อแสงสะท้อนและหมุนเวียนตลอดเส้นที่ฝังออนิกซ์ สลับเพชรและลายฉลุ สร้างความคอนทราสในแบบที่ไม่ซ้ำเดิม สะท้อนเอกลักษณ์ของเมซงได้อย่างไร้ที่ติ
สร้อยคอ Panthère Givrée
สร้อยคอ Panthère Givrée ผสานศิลปะการสร้างภาพแทนธรรมชาติแบบเกินจริงกับศิลปะรูปลักษณ์โดยมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน เริ่มจากส่วนหัวเสือที่เหมือนจริงตั้งแต่ปลายจมูกไปจนถึงดวงตาที่ฝังมรกตทรงอัลมอนด์และหูที่แหลมชี้ ส่วนขนเสือนั้นขยายรายละเอียดจนเห็นเป็นรูปทรงเรขาคณิตบางเบาดุจปุยเมฆ และฝังออนิกซ์เป็นลายจุด เสือแพนเตอร์ตัวนี้เป็นผลงานชิ้นเอกที่ดูคล้ายกำลังเฝ้าดูอความารีน 3 เม็ดน้ำหนักรวม 20.33 กะรัต ที่เปี่ยมพลังด้วยความเข้มของสี การฝังลาปิส ลาซูลีเป็นลวดลายละเมียดละไม ช่วยขับเน้นความเด่นให้กับองค์ประกอบชิ้นงาน และเล่นกับความตัดกันอย่างมีชั้นเชิง
สร้อยคอ Girih
ผลงานที่ถ่ายทอดความยั่วยวนใจของการเดินทาง และนำเสนอการตีความหนึ่งในธีมหลักของสไตล์ Cartier อันได้แก่ ศิลปะอิสลามและความอลังการของสถาปัตยกรรมอิสลามได้อย่างมีเอกลักษณ์ โดยถ่ายทอดทุกสิ่งออกมาในรูปแบบที่ประณีตและมีความเป็นกราฟิกขั้นสุด ไม่ว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเส้นสาย ลวดลาย หรือความสมมาตร และความเข้มข้นนี้ก็เข้ากันเป็นอย่างดีกับพลังของความกลมกลืนเชิงสีสันระหว่างมรกตจากแซมเบียกับเทอร์ควอยซ์ที่โรงเจียระไนตัดให้ตามคำสั่ง จี้ที่ประดับอยู่กลางสร้อยสามารถถอดออกมาสวมเป็นเข็มกลัดได้ ตามขนบการทำเครื่องประดับที่แปลงโฉมให้สวมใส่ได้หลายแบบของ Cartier
นอกจากเครื่องประดับชิ้นเอกลักษณ์ในคอลเลคชั่นไฮจิวเวลรีแล้ว ยังมีอีก 1 คอลเลคชั่น ประกอบด้วยจิวเวลรี 2 ชุดที่รังสรรค์ขึ้นจากการเดินทางที่เริ่มต้นขึ้นใหม่ในครั้งนี้ คือ เซ็ทสร้อยคอ Unda ประกอบด้วยมรกตคาโบชงหลากหลายขนาดรวม 67 เม็ด ร้อยเรียงเป็นลายคลื่นบนแฉกรัศมีฝังเพชรพาเว่ จำนวนนับไม่ถ้วน โครงสร้างกราฟิกเข้มขลังตัดกันอย่างสะดุดตากับสีสันจัดจ้าของอัญมณีทรงกลมที่ทอประกายระยิบระยับ เป็นพลังคู่ตรงข้ามที่ยามมาอยู่ชิดกันกลับรวมพลังเปล่งประกายพราวพรายตลอดทั้งเส้น และ เซ็ทสร้อยคอ Voltea รังสรรค์ขึ้นจากการนำสีแดงดำ คู่สีคลาสสิกของเมซงมาใช้สลับขับเน้น และกำหนดจังหวะในการฝังเพชรพาเว่ เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวเรียงต่อกัน ลูกปัดปะการังล้อมออนิกซ์ที่วางประดับ 3 จุดบนสร้อยนั้นฝังเพชรเดี่ยวไว้กลางเม็ด ลายฉลุทำให้สร้อยมีความเลื่อนไหลและยืดหยุ่นยามสวมใส่ ดุจได้สัมผัสอากาศอันปลอดโปร่ง
นอกจากนี้ Cartier ยังพยายามปรับปรุงขนบความเป็นเลิศควบคู่ไปกับการขยายขอบเขตความมุ่งมั่นด้านจริยธรรม สิ่งแวดล้อม และการปฏิบัติเชิงสังคมอยู่เสมอ ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาแนวปฏิบัติที่ดีทั่วทั้งอุตสาหกรรม ผ่าน Coloured Gemstones Working Group และ Responsible Jewellery Council (RJC) ซึ่งได้เริ่มนำประมวลหลักปฏิบัติมาใช้กับทับทิม แซฟไฟร์และมรกตแล้ว อีกทั้งทางเมซงจะนำมาตรฐานความเป็นเลิศและมาตรฐานคุณภาพของตนเองมาใช้ภายใต้การกำกับดูแลอย่างเข้มงวดแล้ว ยังกำหนดให้ซัพพลายเออร์ทุกรายยึดถือแนวปฏิบัติด้วยความรับผิดชอบดังกล่าว และยังส่งเสริมสนับสนุนให้ซัพพลายเออร์ยื่นขอการรับรองจาก RJC อีกด้วย
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF CARTIER
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon