กลับมาอีกครั้งกับคอลเลกชันเรือนเวลา Breitling Top Time Classic Cars B01 โดยมาพร้อมกับความร้อนแรงที่มากกว่าเดิม
Breitling Top Time Classic Cars B01 ในช่วงทศวรรษที่ 1960 เป็นยุคแห่งการทดลอง ความสนุกสนาน อิสรภาพ และพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่จักรยานยนต์หรือรถสปอร์ตด้วยความเร็วสูง ซึ่งนับเป็นไลฟ์สไตล์แบบเต็มที่กับชีวิตสำหรับคนในยุคนั้น โดยผู้ก่อตั้งแบรนด์ Breitling (ไบร์ทลิ่ง) รุ่นที่ 3 Willy Breitling (วิลลี่ ไบร์ทลิ่ง) สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ และเริ่มออกแบบนาฬิกาโครโนกราฟที่มีรูปแบบหวือหวาตามกระแสในยุคนั้น ซึ่งเขาเรียกมันว่านาฬิกา Top Time (ท็อป ไทม์)
โดยในปี 2021 คอลเลกชันเรือนเวลา Top Time Classic Cars (ท็อป ไทม์ คลาสสิก คาร์ส) เป็นคอลเลกชั่นนาฬิกาที่ขายดีที่สุด และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จดังกล่าว Breitling นำคอลเลกชันนี้กลับมาอีกครั้ง โดยมาพร้อมกับความร้อนแรงที่มากกว่าเดิม
Top Time หนึ่งในนาฬิกาโครโนกราฟรุ่นแรกที่เป็นที่ต้องการทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ด้วยความโดดเด่นของเส้นสายจากการออกแบบ ทำให้นาฬิการุ่นนี้ได้โลดเล่นอยู่บนปกนิตยสารและภาพยนตร์ เช่น ในภาพยนตร์ เจมส์ บอนด์ ตอน Thunderball (ธันเดอร์บอล) ในปี 1965 ซึ่งจิตวิญญาณที่สืบทอดกันมานั้น ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน โดย Breitling ได้ร่วมมือกับสุดยอดแบรนด์ยวดยานทั้งสองล้อและสี่ล้อที่มีชื่อเสียงแห่งยุค ในการสร้างสรรค์ผลงานนาฬิกา Top Time รุ่นต่าง ๆ อาทิ Deus Ex Machina (เดอัส เอ็กซ์ แมชิน่า) และ Triumph Motorcycles (ไทร์อัมพ์ มอเตอร์ไซเคิล) สำหรับรถจักรยานยนต์ หรือ Ford Thunderbird (ฟอร์ด ธันเดอร์เบิร์ด) และ Mustang (มัสแตง), Chevrolet Corvette (เชฟโรเลต คอร์เวตต์), และ Shelby Cobra (เชลบี้ คอบร้า) สำหรับรถยนต์
สำหรับคอลเลกชั่น Classic Cars (คลาสสิก คาร์ส) ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ รวมถึงรุ่น Ford Thunderbird (ธันเดอร์เบิร์ด) ที่มาพร้อมกับสายนาฬิกาสีแดงและหน้าปัดสีขาวที่สะดุดตาด้วยโลโก้และเข็มโครโนกราฟสีแดง โดยนาฬิกาทั้ง 4 เรือน ใช้สีและโลโก้ของรถสปอร์ตยุค 1950 และ 1960 ทั้งหมดมาพร้อมกับกลไกจักรกลรุ่นใหม่อย่าง Breitling Manufacture Caliber 01 (ไบร์ทลิ่ง แมนูแฟคเจอร์ คาลิเบอร์ 01) ซึ่งสามารถมองเห็นผ่านทางฝาหลังแบบโปร่งใสจากกระจกแซฟไฟร์ ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง สามารถสำรองพลังงานได้ถึง 70 ชั่วโมง และรับประกันคุณภาพยาวนาน 5 ปี ด้วยการออกแบบที่คำนึงถึงความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และฟังก์ชันการใช้งานเช่นเดียวกับกลไกจักรกลรุ่นต่าง ๆ ของ Breitling ที่ได้รับรองความเที่ยงตรงอย่างเข้มงวดจากสถาบัน COSC และในกระบวนการผลิตยังต้องผ่านการทดสอบการกระแทก การขึ้นลาน และการกดปุ่มจับเวลา โดยกลไกนี้ถูกบรรจุไว้ในตัวเรือนที่มีความสามารถกันน้ำลึก 100 เมตร
องค์ประกอบของการออกแบบประกอบไปด้วยสายหนังแบบเรซซิ่ง สเกลวัดความเร็ว และหน้าปัดย่อยสำหรับจับเวลาทรง สี่เหลี่ยมมุมมน ที่ตัดกันและทำให้นึกถึงมาตรวัดบนหน้าปัดแบบวินเทจ และเช่นเดียวกับรุ่นก่อนหน้านี้ที่ขับเคลื่อนด้วยสไตล์จากยุค 1960 ตัวเรือนสเตนเลสสตีลขนาด 41.0 มิลลิเมตร ของนาฬิกา Top Time เป็นขนาดที่สามารถสวมใส่ได้อย่างสะดวกสบายสำหรับคนรักนาฬิกาและรถยนต์
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF BREITLING
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่