เผยโฉมด้วยสีสันใหม่และการผสมผสานระหว่างอัญมณีหลากสีในนาฬิการุ่นยอดนิยม Royal Oak Selfwinding เวอร์ชั่น 37 มิลลิเมตร
Audemars Piguet: Royal Oak Selfwinding 37 mm ก่อนหน้านี้เราได้ยลโฉมเรือนเวลาประดับอัญมณีอันงดงาม พร้อมด้วยวัสดุล้ำค่าที่มาเติมเต็มความโดดเด่นให้กับครอบครัวนาฬิกาตระกูล Royal Oak ของ Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) กันมาแล้ว และล่าสุดแบรนด์ยังได้เผยโฉมเครื่องบอกเวลาภายใต้สีสันใหม่ รวมถึงเสน่ห์ใหม่ของการผสมผสานระหว่างอัญมณีหลากสีไว้ในอีกหนึ่งนาฬิการุ่นยอดนิยม อย่าง Royal Oak Selfwinding กับเวอร์ชั่นขนาด 37.0 มิลลิเมตรตามมาอีกด้วย
โดยเป็นการนำเสนอให้เลือกในสองเวอร์ชั่นใหม่ของนาฬิกากลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ ที่ขยายซีรีส์ 15452 ให้มีความหลากหลายมากขึ้น พร้อมด้วยตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 37.0 มิลลิเมตร ที่รังสรรค์ขึ้นจากวัสดุล้ำค่า อย่าง ไวท์โกลด์หรือพิงค์โกลด์ ทั้งยังแต่งเติมด้วยเสน่ห์และความสง่างามให้กับทั้งสองรุ่นนี้ด้วยการประดับเพชรและอัญมณีหลากสีที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน รวมถึงบรรจุไว้ด้วยหน้าปัดแกะสลักกิโยเช (guilloché) สีเทาและสีเบจในเฉดใหม่ โดยทั้งสองเวอร์ชั่นนี้ยังคัดสรรอัญมณีเจียระไนทรงบริลเลียนต์คัต (brilliant-cut) จำนวน 40 เม็ดที่ผ่านทั้งขั้นตอนของการเจียระไนและขัดเหลี่ยมมุมด้วยมือมาอย่างเชี่ยวชาญโดยช่างอัญมณี ก่อนจะนำมาประดับฝังลงบนเรือนเวลา เพื่อให้ได้ทั้งสัมผัสและเฉดสีที่งดงามสมบูรณ์แบบที่สุด รวมถึงผลลัพธ์ของประกายแสงอันแวววาวจากอัญมณีทุกๆ เม็ดที่ประสานรัศมีของแสงเข้าด้วยกันได้อย่างสวยงามลงตัว
เช่นในรุ่น Royal Oak Selfwinding – 37 mm กับตัวเรือนพิงค์โกลด์ 18 กะรัตนั้นประดับฝังไว้ด้วยความแวววาวของเพชรเจียระไนทรงบริลเลียนต์คัตรวมจำนวน 124 เม็ด ทั้งบนตัวเรือนเรื่อยไปจนถึงหมุดเชื่อมสาย ขณะที่หน้าปัดของรุ่นยังคงตกแต่งด้วยลวดลายเอกลักษณ์อย่าง
กรองด์ ทาพิสเซอรี (Grande Tapisserie) แต่มาในโทนสีเบจใหม่ ซึ่งช่วยเสริมให้ตัวเรือนพิงค์โกลด์ ตลอดไปจนถึงเครื่องหมายมาร์กเกอร์บอกชั่วโมงและเข็มชี้ที่ทำจากวัสดุพิงค์โกลด์เดียวกันนี้ยิ่งดูโดดเด่น นอกจากนี้ได้เพิ่มความพิเศษยิ่งขึ้นให้กับเครื่องหมายมาร์กเกอร์คู่แสดงชั่วโมง ณ ตำแหน่ง 12 นาฬิกา ที่ประดับไว้ด้วยเพชรบริลเลียนต์คัต ส่วนบนขอบตัวเรือนประดับตกแต่งผสมผสานเข้ากับอัญมณี 40 เม็ด ประกอบด้วย บุษราคัม โกเมน และพลอยสเปสซาไทท์สีส้ม (Orange Spessartite Garnet) ที่นำมาตกแต่งฝังแบบไล่โทนสี ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของ Royal Oak ที่นำเสนอโทนสีสดใสในเฉดที่ดูอบอุ่นเช่นนี้
ขณะที่รุ่น Royal Oak Selfwinding – 37 mm ในตัวเรือนไวท์โกลด์ 18 กะรัตได้ถ่ายทอดด้วยบุคลิกและความสวยงามที่แตกต่างกัน โดยยังคงประดับด้วยเพชรเจียระไนบริลเลียนต์คัตจำนวน 124 เม็ด ไว้บนตัวเรือนและหมุดเชื่อมสาย แต่โดดเด่นยิ่งขึ้นด้วยหน้าปัดซึ่งตกแต่งด้วยลวดลาย กรองด์ ทาพิสเซอรี (Grande Tapisserie) ในโทนสีเทาโรเดียม พร้อมทั้งบรรจุด้วยเครื่องหมายมาร์กเกอร์ชั่วโมงและเข็มชี้ทำจากไวท์โกลด์ 18 กะรัต และเช่นเดียวกันกับรุ่นพิงค์โกลด์ที่มีการประดับเพชรทรงบริลเลียนต์คัตไว้บนเครื่องหมายมาร์กเกอร์คู่บอกชั่วโมงที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา สำหรับรุ่นนี้เน้นการตัดและคอนทราสต์กันของไวท์โกลด์และการประดับเพชร กับแซฟไฟร์สีชมพูและทับทิมเจียระไนบริลเลียนต์คัต 40 เม็ดที่เรียงแบบไล่เฉดสี เพื่อมอบความสง่างามแต่เข้มแข็งที่รับไปกับข้อมือขนาดเล็กของผู้หญิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกเหนือจากความโดดเด่นของอัญมณีหลากสีแล้ว สองรุ่นใหม่ของ Royal Oak Selfwinding 37 mm ยังเปิดตัวมาพร้อมกับการนำเสนอด้วยสายหนังลูกวัวตกแต่งลายซาตินแบบใหม่ในสองเฉดสี คือสายสีเบจที่จับคู่มากับนาฬิกาตัวเรือนพิงค์โกลด์ และสายสีเทาอ่อนที่ประกอบลงตัวเข้ากับนาฬิกาตัวเรือนไวท์โกลด์ โดยความพิเศษของสายหนังแบบใหม่นี้คือความทนทานและผิวสัมผัสที่เหมือนกับซาติน ส่วนตัวล็อกสายประทับด้วยโลโก้อักษรย่อ AP และงดงามด้วยการประดับเพชรเจียระไนบริลเลียนต์คัตอีก 28 เม็ด ที่พร้อมจะมอบทั้งความสะดวกสบายในการสวมใส่บนข้อมือ ทั้งยังคงคอนเซปต์ความหรูหราของนาฬิกาทั้งเรือนจรดปลายสาย
ส่วนภายในนาฬิกาใหม่สองรุ่นนี้ติดตั้งไว้ด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ Calibre 3120 ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 26.6 มิลลิเมตร และหนา 4.3 มิลลิเมตร ที่ประกอบด้วยชิ้นส่วน 282 ชิ้น และทับทิม 40 เม็ด โดยทำงานด้วยความถี่ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง หรือ 3 เฮิรตซ์ พร้อมทั้งการตกแต่งกลไกด้วยงานฝีมืออย่างประณีตสวยงาม ไม่ว่าจะเป็น เทคนิคCircular Graining การขัดเหลี่ยมมุมและเทคนิคขัดลายวงกลมโคตส เดอ เฌแนฟ (Côtes de Genève) บนสะพานจักร ที่เผยให้เห็นความประณีตเหล่านี้ผ่านทางฝาหลังกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ รวมถึงโรเตอร์ขึ้นลานที่รังสรรค์จากทอง 22 กะรัต ที่ตกแต่งด้วยตราประจำตระกูลของ Audemars และ Piguet พร้อมทั้งแกะสลักอักษรย่อ AP แบบโมโนแกรมและชื่อเต็มของแบรนด์
นาฬิกาแสดงเวลาแบบสามเข็มนี้ช่วยให้สุภาพสตรีผู้สวมใส่สะดวกสบายยิ่งขึ้น ด้วยการสำรองพลังงานได้ถึง 60 ชั่วโมง รวมถึงระบบเปลี่ยนวันที่แบบ Instant-Jump ขณะที่สถาปัตยกรรมและโครงสร้างภายใน เช่นแท่นเครื่องนั้นยังถูกออกแบบให้มีความมั่นคงและรองรับการกระแทกได้เป็นอย่างดี นับเป็นผลงานเรือนเวลารุ่นใหม่ที่สามารถหลอมรวมทั้งเทคนิคการสร้างสรรค์ที่เป็นเอกลักษณ์ เข้ากับสไตล์ดั้งเดิมและดีไซน์อันร่วมสมัย พร้อมทั้งผสานอย่างลงตัวด้วยความหรูหราและประณีตของการประดับตกแต่งอัญมณีไว้ได้อย่างสวยงาม
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF AUDEMARS PIGUET
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่