นับว่าเป็นนาฬิกาฟลายอิ้งตูร์บิญองรุ่นใหม่ล่าสุดของ Audemars Piguet ภายใต้รูปโฉมของ Royal Oak Offshore พร้อมทั้งงานดีไซน์ใหม่ของตัวเรือน 43 มม.
ถือเป็นการเปิดตัวที่สร้างความสนใจจากสาวก Royal Oak Offshore ได้อยู่ไม่น้อย กับการเผยโฉมนาฬิกากลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติสลับซับซ้อนรุ่นใหม่ของ Audemars Piguet (โอเดอมาร์ ปิเกต์) ที่ผสมผสานระหว่างความเป็นขั้นเทพด้านจักรกลของฟลายอิ้งตูร์บิญอง (flying tourbillon) เข้ากับกลไกจับเวลาฟลายแบ็กโครโนกราฟ (flyback chronograph) อันแม่นยำ และยังออกแบบตัวเรือนขึ้นด้วยขนาดใหม่ 43.0 มิลลิเมตร ซึ่งเรียกได้ว่าอาจเป็นใบเบิกทางไปสู่งานดีไซน์ใหม่ให้กับบรรดา Royal Oak Offshore เจเนอเรชั่นล่าสุดอีกด้วย
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Royal Oak Offshore ถือเป็นหนึ่งในคอลเลกชั่นหลักสำคัญของ Audemars Piguet ที่กลายเป็นตัวเลือกที่มีความโดดเด่นไม่แพ้คอลเลกชั่นรุ่นพี่อันโด่งดังอย่าง Royal Oak ซึ่งคิดค้นและเปิดตัวมาแล้วก่อนหน้านับจากปีค.ศ. 1972 ในฐานะนาฬิกาสปอร์ตหรูด้วยตัวเรือนสเตนเลสสตีลกับงานดีไซน์ที่กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวจากฝีมือของ Gerald Genta ก่อนที่ Royal Oak Offshore จะเกิดขึ้นตามมาในปีค.ศ. 1993 เพื่อร่วมฉลองครบรอบ 20 ปี ของคอลเลกชั่นรุ่นพี่ โดยนับจากนั้นเป็นต้นมา แบรนด์ก็ยังคงรักษาไว้ซึ่งต้นตำรับและเอกลักษณ์ดั้งเดิมของคอลเลกชั่นสปอร์ตแกร่งนี้ไว้อย่างเหนียวแน่น ทั้งความแตกต่างด้านบุคลิกและรายละเอียดการสร้างสรรค์อีกมากมาย รวมทั้งมีวิวัฒนาการด้านการออกแบบและตัวเรือนมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อนำเสนอรูปแบบและสุนทรียะความสวยงามใหม่ๆ ไปจนถึงการพัฒนาเพื่อให้รับกับหลักสรีรศาสตร์ได้อย่างสูงสุด ขณะที่หน้าปัดก็ปรับเปลี่ยนรูปโฉมมาบ้าง แต่ยังคงไว้ด้วยสัญลักษณ์และซิกเนเจอร์ของสถาปัตยกรรมที่สะท้อนความเป็นเรือนเวลาสำหรับเอกบุรุษโดยแท้
เหมือนกันกับในผลงานรุ่นใหม่ของ Royal Oak Offshore Selfwinding Flying Tourbillon Chronograph ที่เปิดตัวล่าสุด พร้อมด้วยงานดีไซน์ใหม่ของตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 43.0 มิลลิเมตร และหน้าปัดซึ่งเปิดโชว์ให้เห็นโครงสร้างอันโดดเด่นของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติซับซ้อนชุดใหม่ที่ผ่านการตกแต่งด้วยมืออย่างประณีต นอกจากนี้ยังมาพร้อมระบบสายที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ใหม่ล่าสุดของโรงงานเช่นกัน โดยรุ่นนี้ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 100 เรือน ให้สาวกได้ตามเก็บสะสม
นอกจากรูปลักษณ์งานดีไซน์ใหม่ที่ยังคงโดนใจข้อมือบุรุษด้วยตัวเรือน 43.0 มิลลิเมตร แล้ว ผลงานรุ่นล่าสุดนี้ยังขับเคลื่อนด้วยกลไกซึ่งผ่านการตีความใหม่อย่างสวยงามของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติชุดใหม่ ซึ่งมาพร้อมการผสมผสานด้วยฟลายอิ้งตูร์บิญองและฟลายแบ็กโครโนกราฟ ที่แต่เดิมนั้นเปิดตัวด้วยการบรรจุภายในนาฬิกาคอลเลกชั่น Code 11.59 by Audemars Piguet โดยขณะที่ฟังก์ชั่นฟลายแบ็กนั้นทำให้สามารถเริ่มต้นการจับเวลาโครโนกราฟใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดหรือรีเซ็ตก่อน กลไกชุดนี้ยังเสริมไว้ด้วยการทำงานของฟลายอิ้งตูร์บิญองซึ่งติดตั้งอยู่ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา เพื่อช่วยชดเชยผลกระทบที่มาจากแรงโน้มถ่วงและเพิ่มระดับความเที่ยงตรงแม่นยำให้กับนาฬิกาได้ยิ่งขึ้น
โดยปรับประยุกต์ให้เข้ากับขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางใหม่ของนาฬิกา ที่ Calibre 2967 นี้ได้มอบความสวยงามสไตล์สปอร์ตมากยิ่งขึ้นให้กับภาพลักษณ์ของคอลเลกชั่น โดยผ่านการออกแบบขึ้นใหม่ ทั้งสะพานจักรไทเทเนียมที่ตกแต่งด้วยการเคลือบ PVD สีดำ ผสานตัวแทรกไทเทเนียมซึ่งมอบเป็นภาพทูโทนตัดกัน นอกจากนี้บนสะพานจักรไทเทเนียมยังผ่านการตกแต่งด้วยงานขัดด้านซาตินและขอบมุมต่างๆ ผ่านการขัดเงาด้วยมือ ส่วนตัวแทรกตกแต่งพื้นผิวสลับกันระหว่างขัดแซนด์บลาสต์และขัดเงาเพื่อมอบมิติที่ดึงดูดสายตามากขึ้น รวมไปถึงขอบมุมด้านนอกของสะพานจักรผ่านการขัดเงาอย่างประณีตละเอียดอ่อน เพื่อขจัดผิวเคลือบ PVD สีดำออกและสร้างภาพที่ตัดกันระหว่างสีและพื้นผิวโดยสะพานจักรเหล่านี้ยังเผยให้เห็นส่วนของชิ้นส่วนประกอบแบบทูโทนของกลไกที่ประกอบขึ้นแบบหลายเลเยอร์บนทั้งสองด้านของนาฬิกา และคล้ายกันที่กรงฟลายอิ้งตูร์บิญองซึ่งเปิดโชว์ให้เห็นบาลานซ์วีลภายในตกแต่งด้วยการชุบโทนสีโรเดียม รวมถึงส่วนซึ่งเปิดโชว์ให้เห็นของเกียร์เทรนยังสามารถชื่นชมได้ผ่านฝาหลังกระจกแซฟไฟร์ โดยเฉพาะโรเตอร์ขึ้นลานแบบ openworked ที่ทำจากทอง 22 กะรัต เคลือบ PVD สีดำ สำหรับกลไกชุดใหม่นี้มอบการสำรองพลังงานได้ 65 ชั่วโมง แม้ไม่ได้สวมใส่บนข้อมือ และกันน้ำได้ลึก 100 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งคุณสมบัติเด่นแม้ในรุ่นสลับซับซ้อนที่ยังคงเหมาะสำหรับการผจญภัยสไตล์สปอร์ต
กลับมาที่จุดเด่นของงานดีไซน์ตัวเรือนใหม่ที่รองรับกับสรีรศาสตร์มากยิ่งขึ้นของตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 43.0 มิลลิเมตร ทำจากไทเทเนียม ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับนาฬิกาเจเนอเรชั่นใหม่ของ Royal Oak Offshore ในตัวเรือนขนาดใหม่นี้ที่ยังคงผสมผสานไว้ด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวของคอลเลกชั่นอันทรงพลัง มาเริ่มกันที่ตัวเรือนไทเทเนียมที่นำเสนอด้วยขอบขึ้นมุมขัดเงาขยายกว้างมากขึ้น ขณะที่ขอบตัวเรือนและกระจกแซฟไฟร์เคลือบกันแสงสะท้อนก็ถูกปรับให้มีความโค้งในแนวตั้งมากขึ้นเพื่อมอบสัมผัสของความร่วมสมัย ถัดมาคือองค์ประกอบของเม็ดมะยมแบบหมุนเกลียวล็อกทำจากเซรามิกสีดำ เช่นกันกับปุ่มกดควบคุมโครโนกราฟที่มีโครงสร้างรับไปกับความโค้งประณีตของตัวเรือน และยังสะท้อนถึงเหลือบสีเทาและดำของกลไกได้อย่างลุ่มลึก โดยทั้งบนตัวเรือนและขอบตัวเรือนตกแต่งด้วยงานขัดขอบขึ้นมุมแบบเงาสลับกับแซนด์บลาสต์ที่มอบภาพตัดกันได้อย่างสวยเด่น ขณะที่ขอบไทเทเนียมของฝาหลังกระจกแซฟไฟร์นั้นตกแต่งด้วยงานขัดซาตินและแกะสลักด้วยคำว่า “Royal Oak Offshore Limited Edition of 100 Pieces”
ทั้งหมดนี้ยังบรรจบกับความสวยงามแห่งโครงสร้างสถาปัตยกรรมของหน้าปัด ซึ่งแทนที่จะเป็นหน้าปัดทึบตามแบบประเพณีทั่วไป แต่ในสมาชิกใหม่สุดซับซ้อนนี้เลือกที่จะประกอบด้วยโครงสร้างแบบเปลือยโปร่ง พร้อมทั้งตกแต่งด้วยงานฝีมือ และเปิดโชว์ให้เห็นกลไกแบบเล่นระดับที่กลายเป็นภาพฉากหลังให้กับหน้าตาความโดดเด่นของนาฬิการุ่นนี้ โดยบรรจุไว้ด้วยหน้าปัดย่อยจับเวลาโครโนกราฟแบบโปร่งใสสองหน้าปัด ล้อมกรอบโดยวงแหวนรอบนอกสีดำ และเผยให้เห็นภาพของกลไกทูโทน นอกจากนี้โทนสีเข้มของกลไกยังตัดด้วยแสงเรืองรองของเข็มชี้ไวท์โกลด์ 18 กะรัต รวมถึงสเกลนาทีแบบพิมพ์ประทับสีขาวบนขอบตัวเรือนด้านในสีดำ เช่นกันกับอักษรย่อ AP โทนสีโรเดียมแบบนำมาติดที่ปรากฏโดยไร้ชื่อเต็มแบบยาว ท้ายสุดคือเข็มโครโนกราฟสีแดงที่ช่วยเติมเต็มสัมผัสแห่งสีสันให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
ปิดท้ายด้วยนวัตกรรมของระบบสายที่สามารถถอดเปลี่ยนได้ ซึ่งรุ่นผลิตจำนวนจำกัดสุดพิเศษนี้ยังมาพร้อมกับสายระบบใหม่สำหรับเติมเต็มเสน่ห์และลูกเล่นให้กับ Royal Oak Offshore ได้อย่างดี โดยเป็นการผสานระบบสายนี้เข้าโดยตรงกับหมุดสตั๊ดของตัวเรือนและหัวเข็มขัดสาย จึงง่ายต่อการถอดเปลี่ยนสาย รวมถึงเสริมด้วยระบบ double-push เพื่อคงประสิทธิภาพความปลอดภัยในการสวมใส่ และทำให้เจ้าของนาฬิกาถอดเปลี่ยนสายได้เองอย่างไร้ข้อกังวล
สำหรับรุ่นนี้จะมาพร้อมกับสายยางสีดำถอดเปลี่ยนได้ซึ่งตกแต่งด้วยความซับซ้อนสูงไม่แพ้กัน โดยเฉพาะการออกแบบร่องสายขึ้นใหม่ที่สร้างภาพที่ลงตัวไปกับความต่อเนื่องของหมุดสตั๊ด และมาพร้อมกับสายหนังจระเข้เย็บด้วยมือสีดำเป็นสายเสริม ประกอบตัวพับล็อก AP ทำจากไทเทเนียมขัดแต่งแซนด์บลาสต์ลงตัวไปกับงานดีไซน์ใหม่ของนาฬิกา หรือจะเลือกซื้อเพิ่มกับสายหนังวัวสองแบบในโทนสีเบจหรือสีน้ำตาลที่ติดตั้งด้วยระบบสายถอดเปลี่ยนได้นี้เช่นกัน ส่วนตัวเลือกของสายยางและสายหนังจระเข้อื่นๆ จะเปิดตัวตามมาอีกเร็วๆ นี้
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF AUDEMARS PIGUET
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่