Three Limited-Edition Timepieces Celebrate Tropical Beauty with Exquisite Métiers Rares™ Craftsmanship
Reverso ถ่ายทอดความสวยงามสะท้อนการแสดงออกทางศิลปะ ผสานเข้ากับงานนาฬิกาชั้นสูงอันประณีต ผ่านดีไซน์ 3 แบบ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากความมีชีวิตชีวาของศิลปะอาร์ทเดโคผ่านสีสันอันสดใส แต่งแต้มความเชี่ยวชาญของ Jaeger-LeCoultre
Reverso โดดเด่นด้วยตัวเรือนสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่สามารถพลิกกลับได้ เป็นเสมือนภาพจำในวงการนาฬิกา ซึ่งสามารถสวมใส่ได้ทั้งสองด้าน ด้านหลังของรุ่น Monoface ซึ่งเป็นทองคำ (18K) ที่เรียบเนียน เป็นผืนผ้าใบในการถ่ายทอดการแสดงออกทางศิลปะของช่างฝีมือผู้มากประสบการณ์งาน Métiers Rares™ สะท้อนทักษะอันยอดเยี่ยมในงานหัตถกรรมการตกแต่ง
ในปีค.ศ.2021 ได้เปิดตัวซีรีส์ Reverso One ‘Precious Flowers’ โดยสำหรับปีนี้ La Grande Maison เติมเต็มคอลเลกชันด้วย 3 รุ่น ได้แก่ Birds of Paradise, Hibiscus Enamel และ Hibiscus Diamonds ผสานสีสันสดใส สะท้อนความหรูหราอันมีเสน่ห์ ผลงานการสร้างสรรค์อันประณีตเหล่านี้ หลอมรวมงานหัตถกรรมศิลป์ชั้นเลิศจากทองคำเปลว การลงยาและการประดับอัญมณี ผลงานชิ้นเอกแต่ละชิ้นเหล่านี้ต้องใช้เวลาทำงานอย่างพิถีพิถันหลายร้อยชั่วโมง
ทั้ง 3 เรือนเวลาได้รับแรงบันดาลใจจากดีไซน์ของ Reverso ซึ่งสร้างขึ้นในปีค.ศ.1931 ช่วงรุ่งเรืองของศิลปะอาร์ทเดโค ฉลองจิตวิญญาณอันเบิกบานของศิลปะอาร์ทเดโค ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือเส้นสายที่ลื่นไหลของสถาปัตยกรรมสไตล์ Streamline Modern ท่ามกลางพืชพรรณอันเขียวชอุ่มและดอกไม้สีสันสดใส ผสานทักษะอันซับซ้อนของศิลปะและงานฝีมือ สร้างสรรค์ความสง่างามแบบเรียบง่ายของหน้าปัด Reverso One เป็นฉากหลัง
สำหรับการประดับตกแต่งอันหรูหราและมีสีสันของตัวเรือนบนพื้นหน้าปัดมุกสีขาว ประดับตัวเลขโรมันอันเป็นเอกลักษณ์ของ Reverso One ถูกวางไว้ภายในกรอบที่สร้างขึ้นจากขอบทองคำตกแต่งเพชรที่ฝังแบบ Grain-set ประดับตกแต่งขอบตัวเรือนด้วยลวดลาย Gadroons และหูร้อยสาย (Lugs) ส่วนเม็ดมะยมประดับด้วยเพชรแบบฝังคว่ำ (Reverse-set) ผ่านดีไซน์อันประณีต เผยการแสดงออกทางศิลปะและทักษะอันหลากหลายของช่างฝีมือจากห้องปฏิบัติงาน Métiers Rares™ โดยมีช่างฝีมือหลายคนร่วมมือกันอย่างพิถีพิถัน โดยลวดลายดอกไม้ล้อมรอบตัวเรือนแนบเนียนตั้งแต่ด้านหลังไปจนถึงขอบตัวเรือน ทั้งส่วนโค้งและมุม เกิดความซับซ้อนสูงขึ้นในการทำงานของช่างประดิษฐ์
เทคนิคการลงยาแบบ Champlevé (ชองเลเว่) เป็นหนึ่งในเทคนิคการลงยาตกแต่งที่เก่าแก่ที่สุด สร้างร่องรูปทรงตามลวดลาย ต่อด้วยช่างลงยาจะเริ่มวาดรายละเอียดและมิติของสีลงในช่องและตามร่องทีละชั้น โดยใช้การผสานระหว่างสีใสและสีทึบหลากหลายแบบ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามต้องการ ซึ่งการออกแบบ ‘Precious Flowers’ ยกระดับงานลงยาไปอีกขั้นด้วยการผสมผสานเทคนิค Paillonnage เข้าไว้ด้วยกัน ใช้แผ่นทองคำ 24K ขนาดเล็กตัดรูปทรงให้ขนาดที่พอดีกับช่องว่างของลวดลาย จากนั้น หลังจากลงยาเคลือบใส (fondant enamel) ช่างลงยาจะนำชิ้นทองคำขนาดเล็กเหล่านี้มาประดับลงในช่องว่าง ปรับแต่งให้เข้ากับพื้นที่และเริ่มลงยาสีต่างๆ
ตัวเรือนนาฬิกาต้องผ่านการเผาอย่างน้อย 10 ครั้งหรือมากกว่านั้น เผาด้วยความร้อนสูงถึง 800 องศาเซลเซียส เพื่อเพิ่มความเข้มและความลึกของสี เทคนิคการลงยาแบบ Grand Feu ควบคู่ไปกับทักษะทางเทคนิคขั้นสูง สู่ขั้นตอนประดับเพชรบนพื้นหลังที่ลงยา เพิ่มความละเอียดอ่อนและซับซ้อนให้กับขั้นตอนการผลิต ผสานระหว่างการลงยาและฝังเพชรแบบ Snow-setting เจียระนัยแบบ brilliant-cut
Jaeger-LeCoultre Reverso One ‘Precious Flowers’ ฟังก์ชันการแสดงบอกชั่วโมงและนาที ขับเคลื่อนด้วยกลไกไขลาน Calibre 846 สำรองพลังงาน 38 ชั่วโมง ประดับคู่สายหนังจระเข้สีเดียวล้อไปกับหน้าปัด ถ่ายทอดความสวยสง่าผสานผสานเข้ากับงานนาฬิกาชั้นสูงอันประณีตที่มีชีวิตชีวาของดอกไม้พรรณาที่แตกต่างกันอย่างละเอียดอ่อน โดยนาฬิกาแต่ละรุ่นผลิตเพียง 10 เรือนเท่านั้น
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF JAEGER-LECOULTRE