ถ่ายทอดอารยธรรมโบราณที่เป็นแรงบันดาลใจจากกรุงโรม สู่การสร้างสรรค์เครื่องประดับชั้นสูงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
Van Cleef & Arpels Le Grand Tour Rome ถ่ายทอดอารยธรรมโบราณที่เป็นแรงบันดาลใจจากกรุงโรม หลักฐานความงามของสถาปัตยกรรม ประติมากรรมและความเชื่อเกี่ยวกับเทพปกรณัมของอาณาจักรโรมันโบราณ สู่การสร้างสรรค์เครื่องประดับชั้นสูงความเลอค่าให้กับคอลเลกชันนี้ ผ่านสร้อยคอ เข็มกลัด แหวนและกำไล ที่เล่าเรื่องราวความสวยงามผสานความประณีตและความละเอียดละออของกรุงโรมได้อย่างสมบูรณ์แบบ เริ่มต้นที่
Piazza Divina
สร้อยคอ “จัตุรัสแห่งแดนสรวง” หรือ Piazza divina (ปิเอซซา ดิวินา) ได้รับการสร้างสรรค์ และตั้งชื่อจากความเลอเลิศของแหล่งกำเนิดแรงบันดาลใจ คือ Baroque architecture (สถาปัตยกรรมบาโรก) ที่ใช้ตกแต่งจัตุรัสลานหน้าและแนวเสาระเบียงของ St. Peter’s Basilica (มหาวิหารเซนต์ ปีเตอร์ หรือมหาวิหารนักบุญเปโตรในนครรัฐวาติกัน) ได้รับการยกย่องให้เป็นประตูสู่กรุงโรม จากการออกแบบโดยแบรนินิ Gian Lorenzo Bernini (จาน ลอเรนโซ แบรนินิ) ประติมากรชาวอิตาลี ผู้ถนัดในการเล่นเส้นโค้งสลับเหลี่ยมมุมอันสลับซับซ้อน โดยเฉพาะการใช้พื้นที่กรอบรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมูรองรับรายละเอียดทรงวงรี หรือรูปไข่ หรือการจับคู่อยู่ร่วมระหว่างรูปทรงเรขาคณิตที่มีความแตกต่าง ผ่านเส้นกราฟิกที่ตัดกันอย่างงดงาม และสร้อยคอเส้นนี้ก็คือการหยิบยกรูปทรงวงกลม วงรีและเส้นโค้งขด มาสรรค์สร้างลวดลายเรขาคณิตบนตัวเรือนผ่านการร้อยเรียงบนทองคำขาวฝังเพชรประดับไพลินเข้ากับวงรี ทองคำขาวฝังเพชรประดับมรกตประกอบเข้าด้วยกัน เป็นแถบสร้อยแบบโชคเกอร์ ดุจงานถักร้อยนี้ คงทวีความโดดเด่นด้วยระย้าวงแหวนทองคำสีกุหลาบล้อมเพชรสิบสี่ชิ้นคั่นสลับกับโมทิฟเพชรเดี่ยวทรงหยดน้ำ ประดับปลายด้วยมรกตเม็ดเดี่ยว สำหรับจี้สร้อยคอ ได้รับการขึ้นตัวเรือนเป็นรูปเหรียญตราทรงกลม รองรับงานฝังมรกตเม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงวงรีน้ำหนัก 13.09 กะรัต จัดวางตำแหน่งแนวตั้ง ท่ามกลางงานล้อมเพชรฝังเรียงแถวประกายรัศมีออกมาโดยรอบ ในขณะเดียวกันโครงสร้างจี้ทรงเหรียญตรา อาศัยกรอบเส้นทองคำสีกุหลาบบอบบางทอประกายแสงของอัญมณีหายากจากเอธิโอเปียดาวเด่นเม็ดนี้อย่างเต็มที่ จี้สร้อยคอชิ้นนี้สามารถปลดออกสลับเปลี่ยนกับจี้ชิ้นที่สอง ซึ่งฝังเพชรล้วนตรงกึ่งกลางโครงสร้างให้เข้ากับต่างหูในชุดเดียวกัน
สร้อยคอ “ปิเอซซา ดิวินา” พร้อมจี้ที่สามารถปลดออก และสับเปลี่ยนวิธีสวมใส่ได้ ตัวเรือนทองคำขาวประกอบทองคำสีกุหลาบ, ทองคำสีเหลือง และแพลทินัม จี้ประดับมรกตเม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงวงรีน้ำหนัก 13.09 กะรัต (มรกตเอธิโอเปีย) ร่วมกับเพชรเดี่ยวเจียระไนทรงหยดน้ำคุณภาพ DFL Type 2A น้ำหนัก 1.03 กะรัต และเพชรเดี่ยวเจียระไนทรงหยดน้ำคุณภาพ DFL Type 2B น้ำหนัก 1.03 กะรัต ตกแต่งรายละเอียดด้วยมรกต ไพลินและเพชร
Laurier Impérial
Anfora
Fresque céleste
เข็มกลัดประติมากรรมทั้งสามชิ้น คือผลงานที่ได้รับการสรรค์สร้างขึ้น เพื่อเล่าถึงประวัติศาสตร์ของกรุงโรมมหานครแห่งมหาจักรพรรดิในยุคโบราณ อันดับแรก เข็มกลัด Laurier Impérial (โลริเยร์ แอ็งเปริยาล) หรือ “ลอเรลจักรพรรดิ” งานประติมากรรมจากการจำลองกิ่งลอเรล ที่นำมาใช้ในการทำมหามงกุฎขององค์จักรพรรดิต่างๆ จนกลายเป็นชื่อเรียกกันว่า “มงกุฎลอเรล” หรือ “พระมาลาช่อลอเรล” โดดเด่นด้วยการประดับไพลินรังสรรค์จากต้นแบบเหรียญพลอยแกะจากศตวรรษที่ 3 ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นรูปจักรพรรดิการากาลลา (มีชีวิตอยู่ระหว่างปีค.ศ. 188-217) สำหรับงานแกะสลักไพลินในผลงานชิ้นนี้ ถือเป็นงานคุณภาพแบบอย่างจากเหรียญพลอยแกะ และงานพิมพ์แกะของยุคนั้น เพื่อเป็นฐานรองรับความเป็นเลิศ รายล้อมรอบอัญมณีสีน้ำเงิน คือช่อใบลอเรลฝังเพชรสลับไพลินและผลเบอร์รี่ ทำจากพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลิ ล้วนได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถันเสมือนขดใบคลายตัวตามธรรมชาติได้อย่างสมจริง โดยมีโครงสร้างหลักของก้านใบอันอ่อนช้อยทำจากทองคำเล่นเหลี่ยมมุมตลอดสัณฐานเส้นโค้งเสมือนกิ่งจริง เสริมความครบครันจากความใส่ใจในทุกรายละเอียดนั้น คือ เพชรเดี่ยวทรงหยดน้ำประดับประกายสุกสว่างตรงปลายก้านให้ดูเหมือนหยาดน้ำเลี้ยงของแกนใน
เข็มกลัด Anfora (อังโฟรา) หรือ “กุณโฑสองหู” เสมือนภาพวาดหุ่นนิ่งหรือภาพวาดวัตถุนิ่ง (still life) สรรค์สร้างจากประติมากรรมซ้อนประติมากรรม เพื่อรองรับความเป็นหนึ่งของเหรียญโมราสลับลาย หรือ แจสเปอร์แกะสลักร่องลึกเดินลายรูปกุณโฑ หรือคนโทสองหูแบบโบราณจากต้นแบบพลอยแกะศตวรรษที่ 2 ในการใช้เทคนิคสลักลายร่องลึก ที่มีความแตกต่างจากเหรียญทั่วไปในยุคเดียวกันนั้น คือประติมากรรมนูนต่ำ หรือลายนูน ที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเหรียญแจสเปอร์สลักลายร่องลึกชิ้นนี้ ได้รับแรงบันดาลใจจากศิลปะช่างทองตามธรรมเนียมดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมทองคำขึ้นรูปสามมิติ หรือประติมากรรมทองดุนลายด้วยงานค้อน รวมกระทั่งประติมากรรมทองขัดผิวขึ้นเงาราวกระจก โดยมีพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลิเจียระไนหลังเบี้ย เติมเต็มผลงานที่สะท้อนความเป็นเลิศทางอารยศิลป์โรมันโบราณ ก่อลูกเล่นสีตัดกับบรรดาเพชรลูกทรงกลม ซึ่งนำมาใช้ฝังเดินลาย ล้อมกรอบเพื่อความโดดเด่นให้แก่ทั้งชิ้นงาน สร้างความสมดุลด้วยโกเมนสีส้มสเปซซาไทต์เจียระไนทรงวงรีน้ำหนัก 4.87 กะรัต ฝังลงกลางวงเขี้ยวหนามเตยทองคำสีกุหลาบในตำแหน่งแนวนอน แสงส่องสะท้อนประกายอบสุกสกาวดั่งดวงตะวันฉายรัศมี
เพื่อรองรับความเป็นหนึ่งของเหรียญโมราสลับลายหรือแจสเปอร์แกะสลักร่องลึกเดินลายรูปกุณโฑ หรือคนโทสองหูแบบโบราณจากต้นแบบพลอยแกะศตวรรษที่ 2 และด้วยการใช้เทคนิคสลักลายร่องลึก จึงทำให้ผลงานชิ้นนี้แตกต่างจากเหรียญทั่วไปในยุคเดียวกันนั้นที่นิยมประติมากรรมนูนต่ำ หรือลายนูน เพื่อยกย่องคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของเหรียญแจสเปอร์สลักลายร่องลึกชิ้นนี้ ฐานตัวเรือนรองรับจึงอาศัยแรงบันดาลใจจากศิลปะช่างทองตามธรรมเนียมดั้งเดิมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นประติมากรรมทองคำขึ้นรูปสามมิติ หรือประติมากรรมทองดุนลายด้วยงานค้อน รวมกระทั่งประติมากรรมทองขัดผิวขึ้นเงาราวกระจก โดยมีพลอยน้ำสมุทรลาพิซ ลาซูลิเจียระไนหลังเบี้ยเป็นบทเติมเต็มผลงานที่ระลึกถึงความเป็นเลิศทางอารยศิลป์โรมันโบราณ ก่อลูกเล่นสีตัดกับบรรดาเพชรลูกทรงกลม ซึ่งนำมาใช้ฝังเดินลาย และล้อมกรอบเพื่อขับความโดดเด่นให้แก่ทั้งชิ้นงาน เพื่อเติมเต็มความสมดุล โกเมนสีส้มสเปซซาไทต์เจียระไนทรงวงรีน้ำหนัก 4.87 กะรัต ก็ถูกนำมาฝังลงอย่างกลมกลืนกลางวงเขี้ยวหนามเตยทองคำสีกุหลาบในตำแหน่งแนวนอน รับแสงตกกระทบสะท้อนประกายอบอุ่นสุกสกาวดั่งดวงตะวันฉายรัศมีอาบไปทั่วชิ้นงาน
เข็มกลัด Fresque Céleste (เฟรสเกอ เซแล็สต์) หรือ “จิตรกรรมเวิ้งฟ้า” คือความแตกต่างที่เปล่งประกายระยับแสงจากทองคำสีเหลืองลายตัดกับทองคำขาวฝังเพชรของตัวเรือนขดคลื่นวงก้นหอย ได้รับแรงบันดาลใจจากริ้วเมฆในภาพวาดปูนเปียก หรือ fresco (เฟรสโก) ตามธรรมเนียมของศิลปะยุคบาโรก ท่ามกลางความอ่อนช้อยของเกลียวเมฆต่างสี คือจุดสะกดสายตาจากประกายล้อแสงเจิดจ้า ของเหรียญพลอยน้ำบุษย์ หรือ ซิตรินหลังเบี้ยสลักลาย ขนาด 8.62 กะรัต จากต้นแบบพลอยแกะที่ขุดค้น และสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 1 ถึง 2 ถือว่าเป็นชิ้นงานหายาก งานสลักพลอยเนื้อแข็ง งานแกะสลักร่องลึกขึ้นลายจันทร์เสี้ยวประดับดาวบนเนื้อรงคศิลาสีน้ำผึ้งเหลืองเข้ม เผยความโดดเด่นท่ามกลางเขี้ยวหนามเตยของแผ่นโมทิฟเรือนทองและประดับดาวทองคำห้าแฉกฝังเพชร
Jardin de mosaïque
ตัวเรือนทองคำขาวร้อยลูกปัดมรกตร่วมกับโมทิฟทองคำขาวฝังเพชร มรกตเดี่ยวเม็ดเด่นเป็นงานเจียระไนทรงหกเหลี่ยมสลักลายน้ำหนัก 56.97 กะรัต (มรกตโคลอมเบีย) ประกบหัวท้ายด้วยมรกตทรงกองข้าวน้ำหนัก 3.37 และ 3.28 กะรัต (มรกตโคลอมเบีย) ลูกปัดมรกตจำนวน 1,070 เม็ดน้ำหนักรวม 546.50 กะรัต (มรกตโคลอมเบีย) เพชรเดี่ยวเจียระไนทรงจัตุรัสตัดปลายเล่นเหลี่ยมขั้นบันได 58 หน้าตัด (อาสเชอร์-คัท) คุณภาพ EVVS1 น้ำหนัก 1.01 กะรัต
ออกแบบโครงสร้างตัวเรือนเรียงแถวทิ้งสายให้อิงแอบแนบเนื้อ ตามทรวดทรงอย่างสง่างามด้วยสร้อยคอยาว Jardin de mosaïque (ฌารแด็ง เดอ โมซาอิก) หรือ “โมเสกประดับสวน” ที่มีความประณีตในงานร้อยลูกปัดมรกตต่างขนาดไล่ระดับ น้ำหนักรวมสูงถึง 546.50 กะรัต จัดวางตำแหน่งองค์ประกอบให้ได้สมมาตรทั้งสองข้าง เสมือนศิลปะ ปูโมเสกเดินลายภายในสวนโรมันโบราณ อันนำมาซึ่งชื่อเรียกผลงานชิ้นนี้ ในขณะที่สายลูกปัดข้างหนึ่ง ประกอบด้วยโมทิฟทองคำขาวฝังเพชรล้อมมรกตโคลอมเบียสลักลายเม็ดเดี่ยวน้ำหนัก 56.97 กะรัต โมทิฟฝั่งตรงข้ามก็ถอดแบบรายละเอียดมาให้เสมือนกัน โดยเฉพาะงานเจียระไนเพชรหลากรูปแบบ ทั้งเพชรกลม เหลี่ยมผืนผ้าบาแก็ตต์ สี่เหลี่ยมทรงสอบและสี่เหลี่ยมจัตุรัส ทวีความเลอค่าของรัตนชาติจากเหมืองเก่าแก่อันเปี่ยมมนต์เสน่ห์ ผสานงานแกะสลักลายกลีบดอกไม้โค้งนูน สลับซ้อนเรียงตัวไล่ระดับอย่างวิจิตรบรรจงบนหน้าตัดทั้งสองด้าน ในขณะเดียวกันก็สามารถเผยความกระจ่างใสของน้ำพลอย และความล้ำลึกของเนื้อสีอย่างชัดเจน นอกจากนั้น ตำแหน่งของโมทิฟทองคำขาวฝังเพชรล้อมกรอบที่เติมเต็มความหรูหราด้วยมรกตเจียระไนทรงกองข้าว (พีรามิดขอบโค้ง) อีกสองเม็ด ซึ่งล้วนผ่านการคัดสรรให้ได้เนื้อสีและความกระจ่างใสอย่างกลมกลืน สะท้อนถึงงานสลักลายนูนสามมิติบนมรกตเม็ดเด่น และสืบทอดขนบหัตถศิลป์เครื่องประดับที่อำนวยต่อการพลิกแพลงที่สามารถปรับเปลี่ยนวิธีสวมใส่สไตล์ Van Cleef & Arpels ผลงานชิ้นนี้จึงสามารถดัดแปลงรูปแบบได้หลายหลาก จากการลดขนาดความยาวไปสู่การแยกส่วนเป็นสร้อยคอสั้นอีกสองเส้น สำหรับโมทิฟมรกตเม็ดกลางเมื่อปลดออกก็สามารถมาใส่เป็นเข็มกลัด
Diana
ชื่อของสร้อยคอยาวซึ่งดัดแปลงรูปทรง สามารถพลิกแพลงวิธีสวมใส่ได้ โดยเส้นนี้เป็นการอ้างอิงถึงวิหารเทพีไดอานา สร้างขึ้นอยู่ภายในสวนของคฤหาสน์ประจำตระกูล Borghese (บอร์เกเซ) แห่งกรุงโรม ไพลินเม็ดเดี่ยวจากมาดากัสการ์ เจ้าของน้ำหนัก 8.55 กะรัต ราวจรัสวงรัศมีออกมาในรูปแบบของสถาปัตยกรรมสง่างามด้วยความละเอียดอ่อนของงานฝังมรกต ไพลิน เพชรและไข่มุกเลี้ยง เนื้อพลอยสีน้ำเงินสดเผยความงามสุกสกาวสะกดสายตา ด้วยงานเจียระไนทรงเหลี่ยมหมอน หรือจัตุรัสมุมมนอยู่ใจกลางโมทิฟสามมิติเล่นสีตัดระหว่างเพชรกับไพลินน้ำเงิน โดยระย้าไข่มุกเลี้ยงสามเม็ดทิ้งตัวลงมาจากฐานล่าง เพื่อเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรงทองคำสีกุหลาบขนาดเล็กครอบไพลินเม็ดเดี่ยวประดับพู่ระย้าร้อยไข่มุกสลับคั่นลูกปัดมรกตเติมเต็มมิติทรง ประกายสุกสกาวเงางามผ่านรายละเอียดเดินคิ้วนูนเพื่อความสมบูรณ์แบบอันไร้ที่ติ ช่างหัตถศิลป์เครื่องประดับต่างพิถีพิถัน ในการประกอบชิ้นส่วนอันหลากหลายของทั้งโครงสร้างตัวเรือน ที่มีความยืดหยุ่น รวมถึงกลไกในการดัดแปลงรูปแบบ หรือพลิกแพลงวิธีสวมใส่ในการใช้งาน ซึ่งพู่ระย้าสามารถปลดออกได้ สร้อยคอยาวเส้นนี้สามารถปรับความยาวได้ถึงสองระดับ ลดขนาดเป็นสร้อยคอเส้นสั้นแบบสวมติดลำคอ และแยกชิ้นเป็นสร้อยข้อมือสองเส้น รวมถึงเข็มกลัดอีกหนึ่งชิ้น
แหวน Teatro (ตีอาโตร แปลว่าโรงละคร) หรือ “อัฒจันทร์โรงละคร” ได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบและสร้างสรรค์มาจากโรงละครแห่งเมืองปอมปาอี สถานที่จัดการแสดงต่างๆ ซึ่งเปิดทำการมาตั้งแต่ 55 ปีก่อนคริสตกาล ถึงแม้ปัจจุบันจะกลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง หลักฐานอันทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยมิติความงดงาม สร้างแรงบันดาลใจให้กับแบรนด์ในการสรรสร้างความงดงามจากเส้นกับเหลี่ยมมุมกราฟิกมาร่วมกัน ระหว่างทองคำขาวกับทองคำสีเหลือง ขึ้นแบบหัวแหวนประติมากรรมเพื่อยกย่องความรุ่งโรจน์ของอาณาจักรโรมันโบราณได้อย่างวิจิตรบรรจง
มรกตทรงกองข้าว (พีรามิดขอบโค้ง) จากแซมเบียน้ำหนัก 3.93 กะรัต ครองตำแหน่งบนหัวแหวนท่ามกลางวงล้อมอัฒจันทร์สลับโทนสีระหว่างทองคำสีเหลืองขัดผิวเดินลายไล่ระดับก่อมิติความลึกตัดกับทองคำขาวฝังเพชรทรงกลม และเหลี่ยมบาแก็ตต์เรียงแถวตามทรงสัณฐานโค้งอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกันส่วนของตัวเรือนวงแหวน ทองคำสีเหลืองหล่อแบบสลักลายขดคลื่นวงก้นหอยอ่อนช้อย สะท้อนถึงความตระการตาของบัวหัวเสาโรมันผสานความแตกต่างของงานประติมากรรมสามมิติสลักลายนูนต่ำ คือประตูย้อนเวลาไปสู่ความอลังการภายในโรงละครยุคโบราณระดับตำนาน
Cornucopia
สูงส่งบนหัวแหวนท่ามกลางวงล้อมอัฒจันทร์สลับโทนสีระหว่างทองคำสีเหลืองขัดผิวเดินลายไล่ระดับก่อมิติความลึกตัดกับทองคำขาวฝังเพชรทรงกลม และเหลี่ยมบาแก็ตต์เรียงแถวตามทรงสัณฐานโค้งอย่างโดดเด่น ขณะเดียวกัน ในส่วนของตัวเรือนวงแหวน ทองคำสีเหลืองหล่อแบบสลักลายขดคลื่นวงก้นหอยอ่อนช้อย สะท้อนถึงความตระการตาของบัวหัวเสาโรมันอันทรงแบบฉบับ ท่ามกลางความแตกต่างของงานประติมากรรมสามมิติสลักลายนูนต่ำ คือประตูย้อนเวลาไปสู่ความอลังการภายในโรงละครยุคโบราณอันโด่งดังระดับตำนาน
โครงสร้างตัวเรือนประกอบขึ้นจากทองคำสีกุหลาบกับทองคำขาว โมทิฟหัวแหวนโดดเด่นด้วยพลอยทุรมาลี สีทับทิมหรือรูเบลไลต์เม็ดเดี่ยวเจียระไนทรงเหลี่ยมหมอนน้ำหนัก 12.38 กะรัตท่ามกลางงานประดับทับทิม ไพลินสีชมพู โกเมนสีส้มสเปซซาไทต์ พลอยดอกตะแบกหรืออาเมธิสต์และเพชร
ในเทพปกรณัมกรีกโบราณ เขาแพะของเทพีอมาลเธียผู้มอบน้ำนมเลี้ยงดูมหาเทพซูสเกิดหักไปข้างหนึ่งโดยอุบัติเหตุ ด้วยความซาบซึ้งบุญคุณ ซูสจึงเนรมิตเขาแพะที่หักนี้ให้เป็น “กรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์” คืนให้แก่เทพีผู้มีคุณ และกลายเป็นสัญลักษณ์สื่อถึงความมั่งคั่งของพืชพรรณธัญญาหารอย่างไม่มีวันหมดสิ้นกันมานับแต่นั้น ในสมัยของศิลปะ “กรวยแห่งความอุดมสมบูรณ์” ได้รังสรรค์ขึ้นโดยอาศัยงานสานหวายเป็นทรงกรวยเขาแพะ เรียกว่า Cornucopia (คอร์นูโคเปีย) สัญลักษณ์แห่งความเจริญมั่งคั่งตราบนิรันดร์ ก็มอบแรงบันดาลใจให้กับแบรนด์ออกแบบเข็มกลัดชิ้นนี้อย่างหรูหราด้วยการใช้ทุรมาลีสีทับทิมหรือรูเบลไลต์ เม็ดเดี่ยวน้ำหนัก 12.38 กะรัต
จรัสประกายแดงสดล้ำลึกอยู่ท่ามกลางงานเจียระไนทรงเหลี่ยมหมอนหลายหน้า สะท้อนวิถีแสงจากงานล้อมใบไม้ทองคำขาวฝังเพชรร่วมกับพวงพลอยดอกตะแบก และผลทับทิมทำจากทับทิมกับโกเมนสีส้มสเปซซาไทต์ ซึ่งรัตนชาติแต่ละเม็ดผ่านการเจียระไนหน้าตัด ประกายจินตนาการถึงความฉ่ำหวานของเนื้อผลไม้สด เติมเต็มช่อดอกไม้อันเลอค่าจากงานฝังไพลินสีชมพูไล่เฉดกลมกลืนไปกับโกเมนสีส้มสเปซซาไทต์และเพชร ทอประกายสุกสว่างไปกับเนื้อทองสีกุหลาบขัดผิวขึ้นเงาวาวระยับ เพื่อให้เข็มกลัดมีน้ำหนักเบา อันเป็นหนึ่งในคุณลักษณ์ทางงานสร้างสรรค์ของเมซง ตัวเรือนเข็มกลัดจึงอาศัยโครงสร้างเป็นโพรงกลวง ในขณะที่ภายนอกเต็มไปด้วยความอ่อนช้อยของขดริบบินที่ม้วนตัวอย่างต่อเนื่องเสมือนจริง
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF VAN CLEEF & ARPELS