OMEGA เปิดศักราชปี 2023 กับนวัตกรรมความเที่ยงตรงครั้งใหม่อันเป็นเป็นหมุดหมายสำคัญด้วยระบบ Spirate บรรจุไว้ภายในเรือนเวลารุ่น Speedmaster Super Racing
OMEGA มุ่งมั่นในการรักษาความเที่ยงตรงอย่างสูงสุดมาโดยตลอด เริ่มต้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1999 จากการนำเสนอระบบปล่อยจักรแบบ Co-Axial ที่คิดค้นขึ้นโดย George Daniels และพัฒนาต่อยอดโดย OMEGA อันเป็นระบบที่ขจัดปัญหาด้านแรงเสียทานที่แก้ไม่ได้มายาวนานหลายศตวรรษ ต่อมาในปีค.ศ. 2008 กับเทคโนโลยีบาลานซ์สปริง Si14 อันมีขนาดที่เล็กละเอียดมากกว่าผมมนุษย์ถึงสามเท่า แต่มีความยืดหยุ่น ทนทานและไร้ซึ่งแรงกระทบจากสนามแม่เหล็กอย่างสิ้นเชิง จนกระทั่งปีค.ศ. 2013 ด้วยการเผยโฉมเรือนเวลา Seamater Aqua Terra เรือนเวลาที่มาพร้อมกลไก Co-Axial Calibre 8508 ที่สามารถต้านทานพลังจากสนามแม่เหล็กได้มากถึง 15,000 เกาส์ อันสืบเนื่องมาสู่การกำหนดการรับรองความเที่ยงตรงของกลไกในชื่อ Master Chronometer ของ OMEGA ในปีค.ศ. 2015 จนกระทั่งล่าสุดกับการเปิดตัวนวัตกรรมใหม่ในวันนี้ซึ่งก็คือ ระบบ Spirate™ อันประกอบไปด้วยสายใยนาฬิกาที่สามารถปรับอัตราการแกว่งได้อย่างละเอียด สายใยแต่ละชิ้นผลิตจากซิลิคอนเวเฟอร์ซึ่งได้จากกระบวนการผลิตภายในที่มีชื่อว่า DRIE (Deep Reactive Ion Etching) โดยระบบ Spirate™กำลังอยู่ในขั้นตอนการจดสิทธิ์บัตรอยู่ ณ ขณะนี้
ระบบ Spirate™ นี้คือระบบกลไกที่สามารถปรับอัตราการทำงานให้เที่ยงตรงอย่างละเอียดยิ่งกว่าเดิม และยกระดับความเที่ยงตรงในการลดความคลาดเคลื่อนให้เหลือเพียงแค่ 0/+2 วินาทีต่อวัน โดย OMEGA ได้ทำการออกแบบโครงสร้างทางวิศวกรรมของสปริงสายใยซิลิคอนขึ้นใหม่ พร้อมด้วยระบบปรับตั้งเยื้องศูนย์กลางซึ่งติดตั้งไว้บนสะพานบาลานซ์ ทำให้ช่างนาฬิกาสามารถตั้งความตึงของจุดยึดสายใยนาฬิกาผ่านกลไกการปรับแบบเยื้องศูนย์นี้ได้ โดยเรือนเวลาคอลเลกชันล่าสุดที่ OMEGA เลือกสำหรับเปิดตัวพร้อมระบบ Spirate™ คือ Speedmaster Super Racing
Speedmaster Super Racing มาในตัวเรือนสเตนเลสสตีล ขนาด 44.25 มิลลิเมตร หนา 14.9 มิลลิเมตร ขอบตัวเรือนเซรามิกสีดำ แสดงรายละเอียดของสเกล Tachymeter ด้วยวิธีการลง Grand Feu สีเหลืองสด ครอบหน้าปัดด้วยกระจกคริสตัลแซฟไฟร์ทรงกล่อง กันน้ำได้ลึก 50 เมตร พื้นหน้าปัดสีดำ วางเลย์เอาท์หน้าปัดย่อยแบบ bi-compax โครงสร้างหน้าปัดเป็นรูปแบบแซนวิช โดยมีชั้นหน้าปัดที่ตกแต่งในลวดลายคล้ายรังผึ้งวางทับอยู่บนชั้นหน้าปัดเคลือบ DLC สีดำอีกทีหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีการตกแต่งรายละเอียดบนหน้าปัดด้วยสีเหลือง อันเป็นการแสดงออกถึงการระลึกถึงเรือนเวลา Aqua Terra รุ่นปี 2013 ทั้งในส่วนของมาร์กเกอร์บนหลักชั่วโมง และเข็มนาฬิกา เช่นเดียวกับตัวเลขแสดงวันที่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา โดยจะเคลือบไว้ด้วยสารเรืองแสง Super-LumiNova สีเหลือง สำหรับการใช้งานในที่แสดงน้อย
ภายในบรรจุด้วยกลไก in-house โครโนกราฟอัตโนมัติ Calibre 9920 อันเที่ยงตรงในระดับ Master Chronometer ที่มีค่าความเที่ยงตรงที่ 0/+2 วินาทีต่อวัน ควบคุมการจับเวลาด้วย column wheel และ vertical clutch ทำงานด้วยความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง กักเก็บพลังงานได้ยาวนาน 60 ชั่วโมง จากตลับลานแบบคู่
Speedmaster Super Racing สวมใส่คู่กับสายสเตนเลสสตีลแบบ 3 ข้อ ที่ขัดแต่งผิวด้านสลับกับส่วนที่เงางาม พร้อมด้วยที่พับล็อกที่สามารถปรับความยาวได้อีกเล็กน้อยประมาณ 5 มิลลิเมตร ด้วยระบบ push-and slide อีกทั้งยังมีสายผ้า NATO สีเหลืองเพิ่มมาในเซ็ตด้วยอีกหนึ่งเส้น โดยเรือนเวลารุ่นนี้จะเริ่มวางในช่วงเดือนสิงหาคมปีค.ศ. 2023 เป็นต้นไป ในราคาราว 10,200 ฟรังก์สวิส
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF OMEGA
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่