ฉลอง 30 ปีของการสร้างสรรค์เรือนเวลา ที่ปีนี้ Franck Muller ได้เปิดตัวซีรีส์ผลงาน Crazy Hours รุ่นใหม่ ซึ่งร่วมถ่ายทอดสัญลักษณ์อันเป็นไอคอนิกแห่งการเป็นนักประดิษฐ์นาฬิกาอย่างแท้จริง
Franck Muller Crazy Hours 30th ตลอดช่วงระยะเวลา 30 ปี Franck Muller (แฟรงค์ มุลเลอร์) ได้เปิดเส้นทางการสร้างสรรค์นวัตกรรมและแนวคิดใหม่ของการประดิษฐ์เครื่องบอกเวลาอันล้ำสมัย โดยนับตั้งแต่แรกเริ่มของการก่อตั้ง ชื่อของ Franck Muller นั้นเรียกได้ว่ามีส่วนร่วมสำคัญในการสร้างซึ่งการเปลี่ยนแปลง ทั้งยังพลิกโฉมหน้าให้กับอุตสาหกรรมเรือนเวลา ในฐานะแบรนด์นาฬิกาอิสระที่บุกเบิกรูปแบบและการตีความ “เวลา” ไปสู่มิติใหม่ๆ เสมอมา
ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1992 ที่ House of Franck Muller แห่งนี้ได้กลายเป็นหนึ่งในบริษัทนาฬิกาอิสระที่มีชื่อเสียงโด่งดังในการประดิษฐ์เรือนเวลาร่วมสมัย โดยเฉพาะชื่อเสียงอันเลื่องลือด้านความประณีตในการสร้างสรรค์กลไกจักรกลสุดพิเศษที่เต็มไปด้วยความสลับซับซ้อน และส่วนใหญ่ยังนับเป็นนวัตกรรมกลไกเอกสิทธิ์เฉพาะของแบรนด์ที่พัฒนาและผลิตขึ้นภายในโรงงานของตนเอง ณ หมู่บ้าน Genthod ของเจนีวา หรือที่รู้จักกันในนามว่า Watchland และด้วยความสำเร็จจากการเปิดตัวผลงานที่นับเป็นครั้งแรกของโลก รวมถึงสิทธิบัตรมากกว่า 50 ฉบับ Franck Muller ได้ร่วมสร้างสีสันด้วยประดิษฐกรรมเวลาชิ้นเอกขึ้นมากมายและได้รับความชื่นชมจากผู้คนที่หลงใหลในเรือนเวลา เช่นเดียวกับการสร้างสรรค์ผลงานการออกแบบซึ่งเป็นตัวแทนสะท้อนถึงความก้าวหน้าล้ำสมัยทางเทคนิคที่มอบไว้ให้กับประวัติศาสตร์การประดิษฐ์เรือนเวลาชั้นสูงมาอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงเวลาสามทศวรรษ
โดยหนึ่งในผลงานอันโดดเด่นและสร้างชื่อเสียงให้กับ Franck Muller นั้นย่อมหนีไม่พ้นผลงานอย่าง Crazy Hours นาฬิกาคอลเลกชันไอคอนิกสูงสุด ด้วยแนวคิดซึ่งฉีกออกจากหนึ่งในกฎอันเข้มแข็งสูงสุดของการประดิษฐ์นาฬิกาอันเที่ยงตรงแม่นยำ อย่าง รูปแบบของการแสดงเวลาสุดคลาสสิกด้วยวงแหวน 12 ชั่วโมงตามมาตรฐานทั่วไป แต่ใน Crazy Hours นั้น แบรนด์ได้ก้าวข้ามประเพณีการแสดงเวลาไว้ด้วยการสร้างสรรค์จักรกลสุดอัจฉริยะภายใน ที่หากมองเพียงผิวเผิน อาจไม่ทันสังเกตเห็นถึงความแตกต่างไปจากการแสดงเวลาทั่วไป ทว่า หากพินิจใกล้ๆ อีกครั้ง ก็จะพบว่างานออกแบบบนหน้าปัดของบรรดานาฬิกา Crazy Hours นั้นต่างบรรจุการแสดงเวลาชั่วโมงด้วยตัวเลข ณ ตำแหน่งที่ไม่ปกติ ยกเว้นเพียงมาร์กเกอร์ ‘1’, ‘4’, ‘7’ และ ‘10’ โดยเมื่อเข็มนาทีเดินไปถึงนาทีที่ 60 เข็มชั่วโมงจะสามารถก้าวเพื่อแสดงชั่วโมงถัดไปได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นการกระโดดข้ามหน้าปัดคล้ายกับเป็นการสุ่ม ส่วนเข็มนาทีนั้นยังคงทำงานควบคู่กันบนสเกลแสดง 60 นาทีแบบปกติ ซึ่งงานออกแบบอันอัจฉริยะนี้นับเป็นผลลัพธ์มาจากการคิดค้นจักรกลอันซับซ้อนที่ขับเคลื่อนภายใน และตอกย้ำถึงแนวคิดนอกกรอบประเพณีการประดิษฐ์นาฬิกาของ Franck Muller ได้อย่างโดดเด่น
สำหรับปี ค.ศ. 2022 นี้ ยังนับเป็นปีสำคัญของ Franck Muller ที่เป็นการฉลองครบรอบ 30 ปีแห่งการก่อตั้งแบรนด์ และเพื่อเป็นที่ระลึกถึงสามทศวรรษแห่งการสร้างสรรค์เรือนเวลาสุดอัจฉริยะเหล่านี้ แบรนด์จึงได้เปิดตัวอีกหนึ่งคอลเลกชันฉลองสำคัญของซีรีส์เรือนเวลา Crazy Hours 30th Anniversary โดยยังคงไว้ด้วยเอกลักษณ์ความโดดเด่นของตระกูล Crazy Hours ทั้งการถ่ายทอดเวลาด้วยงานออกแบบหน้าปัดแบบเดียวกัน รวมถึงการแสดงเวลาที่โค้งรับไปตามตัวเรือนทรงโค้ง โดยผสมผสานด้วยงานตกแต่งประทับลวดลายกิโยเช่ (guilloché) และเหล่าตัวเลข ซึ่งดึงดูดสายตาโดยการจัดวางตัวเลขบอกชั่วโมงแบบไม่เรียงลำดับตามปกติ และรังสรรค์ผ่านงานฝีมืออันประณีต โดยการนำมาร์กเกอร์ชั่วโมงที่ออกแบบสไตล์สามมิติหรือโฮโลแกรมมาติดบนหน้าปัดด้วยมือ พร้อมทั้งปรับตำแหน่งของตัวเลข ‘10’ ซึ่งในรุ่นฉลองเหล่านี้จัดวางอยู่ใกล้กันกับมาร์กเกอร์ 3 นาฬิกา ทั้งยังประดับเพชรเจียระไนบริลเลียนต์คัตไว้บนเลข ‘3’ และ ‘0’ เพื่อเป็นตัวแทนแห่งการฉลองครบรอบ 30 ปี ส่วนหน้าปัดของเรือนเวลาเหล่านี้ผ่านการออกแบบขึ้นใหม่ และจัดวางตัวเลขชั่วโมงแบบเยื้องศูนย์กลาง ซึ่งผสมผสานและถ่ายทอดเสมือนงานศิลปะบนนาฬิกาข้อมือได้อย่างงดงาม
ในซีรีส์เรือนเวลา Crazy Hours 30th Anniversary นี้ เผยโฉมพร้อมความสง่างามของตัวเรือน Cintreé Curvex เอกลักษณ์เฉพาะของ Franck Muller กับรูปทรงตอนโน (tonneau) สุดคลาสสิก โดยรุ่นอันทันสมัยนี้ได้เลือกใช้ตัวเรือนทรงตอนโนโค้งด้วยขนาดแตกต่างกัน กับความโค้งที่นับเป็นความท้าทายอย่างมาก อันเนื่องมาจากการออกแบบฝาหลังที่ต้องมีความโค้งรับไปกับทั้งหน้าปัดและกระจกแซฟไฟร์ เพื่อเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับงานออกแบบตัวเรือนได้อย่างกลมกลืน ขณะที่ภายในติดตั้งด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ MVD FM 2800-CHR พร้อมด้วยระบบโรเตอร์ขึ้นลานสองทิศทาง ประกอบชิ้นส่วนกลไกรวม 274 ชิ้น และทับทิม 19 เม็ด โดยทำงานที่ความถี่ 28,800 ครั้งต่อชั่วโมง หรือ 4 เฮิรตซ์ และสำรองพลังงานได้ 42 ชั่วโมง ผ่านการตกแต่งชิ้นส่วนกลไกด้วยลวดลายโคตส์ เดอ เฌแนฟ (Côtes de Genève) และขัดด้านแบบซันเรย์บนสะพานจักรและโรเตอร์ รวมถึงขัดลายเกรนวงกลมบนทั้งสองด้านของแท่นเครื่อง ขัดขอบลบมุมบนสะพานจักร สกรูสีน้ำเงินขัดเงา และชุบโรเดียมบนชิ้นส่วนต่างๆ ที่นับเป็นมาตรฐานแห่งงานฝีมืออันประณีตของ Franck Muller
รุ่นฉลองครบรอบ 30 ปีนี้ ยังนำเสนอในสองเวอร์ชันให้เลือก ทั้งตัวเรือนไวท์โกลด์ หรือโรสโกลด์ พร้อมด้วยอีกหนึ่งสไตล์งานออกแบบไอคอนิก อย่าง Colour Dreams ที่มาพร้อมตัวเลขหรือมาร์กเกอร์แสดงชั่วโมงหลากหลายสีสันสไตล์เฉดสีรุ้งบนหน้าปัด ขณะที่ทั้งในรุ่นไวท์โกลด์และโรสโกลด์ ยังมาพร้อมเวอร์ชันอันหรูหรางดงามของตัวเรือนประดับอัญมณี ตกแต่งด้วยเพชรเจียระไนบริลเลียนต์คัต ที่นับเป็นอีกหนึ่งงานฝีมืออันท้าทายอย่างยิ่ง เนื่องจากความโค้งอันซับซ้อนของงานออกแบบตัวเรือนที่ทำให้การไล่เรียงประดับเพชรแต่ละเม็ดบนตัวเรือนนั้นจำเป็นต้องอาศัยซึ่งทักษะและความพิถีพิถันของช่างฝีมือเป็นพิเศษอีกด้วย โดยทั้งหมดประกอบคู่มากับสายหนังจระเข้เย็บด้วยมือ พร้อมหัวเข็มขัดสายทำจากไวท์โกลด์หรือโรสโกลด์ขัดเงาด้วยมือหรือประดับเพชร
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF FRANCK MULLER
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่