วิวัฒนาการก้าวใหม่ของ MB&F LM Sequential EVO ที่มาพร้อมโหมดการจับเวลาได้หลากหลาย จากกลไกคาลิเบอร์ที่ 20 รวมถึงการเป็นนาฬิกาโครโนกราฟครั้งแรกแบรนด์
เป็นหนึ่งในแบรนด์อิสระที่เดินหน้าขับเคลื่อนนวัตกรรมและการสร้างสรรค์เครื่องจักรกลบอกเวลาในแบบฉบับของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับ MB&F (เอ็มบีแอนด์เอฟ) ภายใต้แนวคิดและการทำงานร่วมกันของ Maximilian Büsser และทีมเพื่อนหรือ Friends ที่วันนี้ แบรนด์ได้เดินทางสร้างสรรค์ผลงานมาแล้วถึง 17 ปี และแม้ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ นี้ ยังสามารถประดิษฐ์กลไกของ MB&F มาแล้วถึง 20 คาลิเบอร์ โดยเฉพาะการเปิดตัวล่าสุดของกลไกโครโนกราฟครั้งแรกของแบรนด์ในผลงานรุ่น LM Sequential EVO
โดยการคิดค้นและประดิษฐ์สร้างสรรค์ขึ้นร่วมกับ Stephen McDonnell ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยทำงานกับแบรนด์และสร้างชื่อเสียงมาแล้วจากเรือนเวลาสลับซับซ้อนของจักรกลปฏิทินถาวรหรือเพอร์เพทชวล คาเลนดาร์ อย่าง LM Perpetual ในปี ค.ศ. 2015 พร้อมดีกรีรางวัลมากมาย ซึ่งการกลับมาร่วมงานกันครั้งนี้ ใน LM Sequential EVO ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานรุ่นเด่นของทั้งคู่ จากแนวคิดในการประดิษฐ์นาฬิกาข้อมือด้วยรูปทรงคลาสสิกร่วมสมัยของ LM (Legacy Machine) เข้ากับความซับซ้อนทันสมัยของจักรกลโครโนกราฟคอลัมน์วีลสองชุด ที่ช่วยให้สามารถจับเวลาได้หลากหลายโหมด ซึ่งรวมไปถึงการจับเวลาแบบสปลิท-เซคกันด์ (split-second) และโหมดจับเวลารอบหรือ lap timer ที่นับว่ายังไม่เคยมีมาก่อนในนาฬิกาโครโนกราฟอื่นๆ โดยการคิดค้น “Twinverter” ซึ่งเป็นเหมือนสวิตช์สองสถานะสำหรับใช้ควบคุมจักรกลจับเวลา จึงสามารถสับระหว่างสถานะ เริ่มต้น/หยุด ปัจจุบันของโครโนกราฟทั้งสองชุดได้อย่างง่ายดาย รวดเร็ว และแม่นยำ
รุ่นล่าสุดของ LM Sequential EVO
นอกจากแนวคิดของการประดิษฐ์นาฬิกาจับเวลาโครโนกราฟได้หลายโหมด ซึ่งเหมาะกับการนำไปใช้ประโยชน์ในวิถีชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้นแล้ว ด้วยคอนเซปต์ “EVO” ซึ่งเป็นวิวัฒนาการที่แบรนด์ริเริ่มขึ้นนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2020 กับการเปิดตัวแนะนำในนาฬิกา LM Perpetual EVO พร้อมทั้งวางตำแหน่งไว้ในฐานะนาฬิกาที่สามารถสวมใส่ได้ แข็งแรงทนทาน รวมถึงมีความหลากหลายของรูปแบบการใช้งานอันเป็นหัวใจและเอกลักษณ์เฉพาะตัวสำหรับคอลเลกชันนี้ และในรุ่นล่าสุดของ LM Sequential EVO ยังมาพร้อมความโดดเด่นของตัวเรือนขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 44.0 มิลลิเมตร ที่ทำจากเซอร์โคเนียม ซึ่งเคยใช้รังสรรค์มาแล้วในนาฬิกา LM Perpetual EVO รุ่นแรก ได้มอบสมรรถนะพิเศษทั้งความมีน้ำหนักเบากว่าสเตนเลสสตีล และทนทานกว่าไทเทเนียม รวมถึงไม่ทำให้เกิดอาการแพ้หรือระคายเคืองผิวและต้านจุลินทรีย์ จึงเป็นวัสดุในอุดมคติสำหรับนาฬิกาเพื่อไลฟ์สไตล์แอคทีฟโดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมอบมิติความคมเข้ม แวววาว และให้เฉดของโลหะสีเทาเงินเฉพาะที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร โดยใน LM Sequential EVO มอบไว้ด้วยประสิทธิภาพของการกันน้ำได้ลึกถึงระดับ 80 เมตร โดยการติดตั้งทั้งเม็ดมะยมหมุนเกลียวลง รวมถึงมอบสมรรถนะแห่งการสวมใส่ได้ในทุกสถานการณ์ กับสายยางแบบผสาน รวมถึงระบบซับแรงสะเทือน ‘FlexRing’ ที่ช่วยเสริมความแกร่งและความคล่องตัวในการสวมใส่นาฬิกาสปอร์ตร่วมสมัยเรือนนี้ได้ดียิ่งขึ้น ตรงกับโจทย์ที่ Max, Stephen McDonnell และ Friends ของแบรนด์ตั้งไว้ให้กับ “EVO” ในฐานะนาฬิกาสปอร์ตที่ไม่ใช่เพียงเฉพาะสำหรับกีฬา แต่เป็นสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
โดยนาฬิการุ่นล่าสุดนี้มาพร้อมความโดดเด่นของแผ่นหน้าปัดตกแต่งในเฉดสีส้ม atomic orange หรือสีดำ coal black พร้อมการแสดงโครโนกราฟสองชุด ซึ่งชุดหนึ่งมาพร้อมการจับเวลาวินาทีที่ตำแหน่ง 9 นาฬิกา และจับเวลานาทีที่ตำแหน่ง 11 นาฬิกา ขณะที่อีกชุดมาพร้อมการจับเวลาวินาทีที่ 3 นาฬิกา และจับเวลานาทีที่ตำแหน่ง 1 นาฬิกา แต่ละการแสดงผลจับเวลาโครโนกราฟนี้จะสามารถเริ่มต้น/หยุด และรีเซ็ตการจับเวลาใหม่ได้อย่างอิสระแยกจากกัน ผ่านการใช้ปุ่มกดสำหรับเริ่มต้น/หยุด และรีเซ็ตของแต่ละชุดที่ติดตั้งบนแต่ละด้านของตัวเรือนนาฬิกา ซึ่งนั่นทำให้มีปุ่มกดควบคุมโครโนกราฟรวมกันถึงสี่ปุ่ม เสมือนมีจักรกลจับเวลาสองตัวที่รวมอยู่ในนาฬิกาเรือนเดียวกันได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังใช้งานได้ง่ายดายและอิสระ
ส่วนปุ่มกดปุ่มที่ห้า ซึ่งติดตั้งอยู่ ณ ตำแหน่ง 9 นาฬิกานั้นคือ Twinverter ที่ใช้สำหรับควบคุมและสับการใช้งานของระบบจักรกลโครโนกราฟสองชุดได้อย่างอัจฉริยะ เป็นเหมือนสวิตช์สองสถานะในการสลับสถานะ เริ่มต้น/หยุด ณ ปัจจุบันของแต่ละระบบโครโนกราฟ ซึ่งนั่นหมายความว่า หากการแสดงโครโนกราฟทั้งคู่ถูกหยุดการทำงาน หรืออยู่ในตำแหน่งศูนย์อยู่ การกดลงบน Twinverter นี้จะทำให้จักรกลโครโนกราฟทั้งคู่เริ่มต้นทำงานพร้อมกันทันที และหากโครโนกราฟทั้งคู่กำลังทำงานอยู่ การกดบน Twinverter เดียวกันนี้จะทำให้พวกมันหยุดทำงาน ส่วนหากว่าจักรกลโครโนกราฟชุดใดกำลังทำงาน และอีกชุดถูกหยุดอยู่ Twinverter ก็จะหยุดจักรกลโครโนกราฟชุดที่ทำงาน และเริ่มต้นโครโนกราฟอีกชุดที่ถูกหยุดไว้ก่อนหน้า
การทำงานจับเวลาที่สามารถสับสลับได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และแม่นยำนี้ ทำให้นาฬิกาโครโนกราฟรุ่นนี้มีความพิเศษและโดดเด่นกว่าจักรกลโครโนกราฟทั่วไป หรือแม้แต่นาฬิกาสปลิท-เซคกันด์โครโนกราฟเอง ทั้งในแง่ของประสิทธิผลของการใช้พลังงานและความแม่นยำ รวมไปถึงการมอบโหมดการจับเวลาต่างๆ ที่หลายโหมดนั้นไม่อาจทำได้ในนาฬิกาโครโนกราฟอื่นๆ เช่น “Independent mode” สำหรับการจับวัดช่วงระยะเวลาของหลายๆ เหตุการณ์ที่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดแยกกัน หรือ “Simultaneous mode” กับการจับวัดระหว่างสองช่วงระยะเวลาของสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกัน แต่มีจุดสิ้นสุดต่างกัน หรือ “Cumulative mode” ที่เป็นการจับวัดแต่ละช่วงระยะเวลาสะสมของสองเหตุการณ์ที่ไม่ต่อเนื่อง และ “Sequential mode” (lap mode) กับการจับวัดแต่ละช่วงระยะเวลาย่อยของหนึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลายระยะต่อเนื่องกัน ด้วยการจับวัดชั่วคราวสำหรับช่วงระยะเวลาย่อยต่างๆ ที่ยาวนานกว่าหนึ่งนาที เช่น การสับเปลี่ยนระหว่างการทำงานในสองภารกิจของแต่ละวัน ที่ช่วยให้เราสามารถติดตามจำนวนเวลาซึ่งใช้สะสมไปในแต่ละภารกิจ กับอีกหนึ่งตัวอย่างของการใช้งานโหมดนี้ก็เช่นการจับเวลาการแข่งขันหมากรุก
สำหรับกลไกจักรกลภายใน Stephen McDonnell ได้พัฒนาความซับซ้อน โดยคงไว้ด้วยความสมมาตร และความสมดุลประณีตอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมทั้งเผยให้เห็นโครงสร้างอันอัจฉริยะของจักรกลนี้ภายใต้กระจกแซฟไฟร์โค้งอันเป็นไอคอนิกของ LM ซึ่งกลไกคาลิเบอร์ที่ 20 ของ MB&F นี้ทำงานด้วยความถี่ 3 เฮิรตซ์หรือ 21,600 ครั้งต่อชั่วโมง โดยจัดวางบาลานซ์แบบแขวนลอย หรือ suspended balance อันเลื่องชื่อที่มองเห็นได้ใต้กระจกโดมของหน้าปัด ทั้งยังมอบความสะดวกสบายในการสวมใส่ ด้วยอุปกรณ์ซับแรงสะเทือน (dampener) แบบวงแหวน หรือ FlexRing ที่ติดตั้งระหว่างตัวเรือนและกลไก ซึ่งช่วยปกป้องจากแรงสะเทือนทั้งตามแกนแนวตั้งและแนวขนาน ยกระดับอีกขั้นให้กับความแข็งแรงทนทานพิเศษของกลไกและนาฬิกา LM Sequential EVO อันล้ำสมัย เพื่อตอบโจทย์สไตล์การใช้ชีวิตสุดแอคทีฟเรือนนี้
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF MB&F
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่