ช่วงที่ผ่านมา เราได้เห็นการเผยโฉมของบรรดาเรือนเวลามูนเฟส (Moon phase) หรือนาฬิกาซึ่งมาพร้อมฟังก์ชั่นแสดงข้างขึ้น-ข้างแรมกันมาแล้วหลายรุ่นจากหลายแนวคิดสร้างสรรค์ของแต่ละแบรนด์ผู้ผลิต และนี่คือ 3 เรือนเวลา Best Moon Phase Watches ที่เรียกได้ว่าสวยตรึงใจ และไม่อยากให้คุณพลาดไปทำความรู้จักกับเสน่ห์และความโรแมนติกในแต่ละแง่มุมของผลงานเหล่านี้กัน
ก่อนที่เราจะพูดถึงรายชื่อ Best Moon Phase Watches Padthai.co ขออธิบายถึงกลไก Moon Phase ว่าคืออะไร Moon Phase คือกลไกของนาฬิกาที่มีฟังก์ชันการดูวงโคจรของดวงจันทร์ ในทุก 29.5 วัน ของทุกเดือน หรือแสดงฟังก์ชั่นข้างขึ้น-ข้างแรม ซึ่งการเคลื่อนที่ของดวงจันทร์นี้สามารถทำนายการเกิดน้ำขึ้นน้ำลง ที่มีความสำคัญต่อการเดินเรือ ดังนั้นในสมัยศตวรรษที่ 18 เรือเดินสมุทรจึงมีนาฬิกา Longcase Clock ซึ่งไม่เพียงแต่บอกเวลาแต่ยังมีฟังก์ชัน Moon Phase อีกด้วย มาในรูปแบบดวงจันทร์หน้าคนแนวศิลปะ Art Nouveau
จากนั้นในปีค.ศ. 1818 นาฬิกา Breguet แบรนด์นาฬิกาแนวหน้า ได้ผลิตนาฬิกาพกเรือนทองที่แสดงฟังก์ชั่น Moon Phase No.3066 ออกแบบโดย Abraham-Louis Breguet เจ้าของแบรนด์เองในขนาดตัวเรือน 48 มม. มีรูปของดวงจันทร์หน้าคนแบบงานศิลปะ Art Deco จากนั้นในปีค.ศ. 1925 Patek Philippe ได้นำฟังก์ชั่น Moon Phase มาใส่ในนาฬิกาข้อมือเป็นเรือนแรก และในปีค.ศ. 1949 Rolex ก็ได้ผลิตนาฬิกาข้อมือรุ่น 8171 ตัวเรือนขนาด 38 มม. แสดงวันที่และตำแหน่งที่ 12 นาฬิกา มีหน้าปัดย่อยแบบ Moon Phase เป็นหน้าคนในรูปแบบ Art Deco
รูปแบบการแสดง Moon Phase ได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย ในศตวรรษที่ 18 รูปดวงจันทร์บนนาฬิกาจะมีลักษณะเป็นใบหน้าคน เลยเรียกว่า Moon Face ซึ่งเป็นแนว อาร์ต นูโว เน้นลายธรรมชาติและอ่อนช้อย ดวงจันทร์ถูกเชื่อมโยงกับความเป็นเทพที่ดูแลมนุษย์บนโลก จึงอาจทำให้คนสมัยก่อนวาดรูปดวงจันทร์ที่เป็นใบหน้าคน สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างก็คืออิทธิพลของจินตนาการจากนวนิยาย Sci-fi ยุคต้นๆ จากนวนิยายของ Jules Vern (จูลส์ แวร์น) นักเขียนชาวฝรั่งเศสที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก เรื่อง The Earth to The Moon ปีค.ศ. 1865 และภาคต่อมาคือ Around the Moon ปีค.ศ. 1870 ทำให้เกิดภาพยนตร์ Sci-fi จากฝรั่งเศส ระดับตำนานยุคแรก ชื่อ Voyage dans la Lune หรือ A trip to the Moon โดย Georges Méliès (จอร์จ เมลิเอส์) แสดงภาพเป็นจรวดพุ่งชนดวงจันทร์ถือจินตนาการการเดินทางไปดวงจันทร์ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ในปัจจุบันแม้ฟังก์ชัน Moon Phase ไม่ได้มีการใช้งานอย่างจริงจัง แต่เป็นที่ยอมรับในรูปแบบงานศิลปะที่ลึกล้ำและมีค่า
Jaeger-LeCoultre Master Ultra Thin Tourbillon Moon
หนึ่งในเรือนเวลา Best Moon Phase Watches ผนวกระหว่างสองความซับซ้อนของจักรกล Tourbillon และ Moon phase มาไว้รวมกันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ทั้งยังเสริมด้วยการแสดงวันที่แบบ jumping บนวงแหวนรอบนอกสุดของหน้าปัดที่นับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Jaeger-LeCoultre โดยการทำงานของกลไกชุดใหม่ Calibre 983 ซึ่งพัฒนามาจาก Calibre 978 กลไก Tourbillon อันโด่งดังด้านความเที่ยงตรงจากการคว้ารางวัล International Chronometry Prize มาได้สำเร็จในปีค.ศ. 2009 และได้รับการอัปเดตใหม่อีกครั้งในปีค.ศ. 2019 โดยเฉพาะการตกแต่งด้วยงานฝีมือสุดไฮเอนด์ สำหรับเรือนเวลานี้ได้เพิ่มเติมฟังก์ชั่นแสดงข้างขึ้น-ข้างแรมแบบ Triple Moon phase ที่ประกอบด้วยการแสดงอายุของดวงจันทร์ และแสดงระยะของดวงจันทร์ทั้งในสองซีกโลก ถือเป็นการพัฒนาล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อปีค.ศ. 2019 โดยติดตั้งภายในตัวเรือน Le Grand Rose gold โลหะผสมพิงค์โกลด์ชนิดใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดยแบรนด์ ซึ่งมอบทั้งมิติของสีทองอันอบอุ่ม และทนทานสูงต่อการซีดจางของสีทองเมื่อใช้ไปนานๆ จับคู่มากับหน้าปัดสีขาวเปลือกไข่ เพื่อชูความเด่นของการแสดง moon phase ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และ Tourbillon ที่ 6 นาฬิกา
Hermès Arceau Grande Lune
นาฬิกามูนเฟสหนึ่งใน Best Moon Phase Watches เรือนเวลานี้สะกดทุกสายตาด้วยความสวยงามลงตัว ระหว่างหน้าปัดซึ่งรังสรรค์ด้วยโทนสีน้ำเงินเข้มขัดแต่งลวดลายรัศมี และความสวยเด่นของตัวเรือนทรงกลม Arceau (อาร์โซ) ที่สร้างสรรค์ขึ้นโดย Henri d’Origny (อองรี ดอริญี) นับจากปีค.ศ. 1978 กับรหัสความสวยงามกลมกลืนระหว่างทรงโค้งอันคลาสสิกเข้ากับความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะหูเชื่อมสายรูปทรงโกลนแบบอสมมาตร และบรรจุบนหน้าปัดด้วยตัวเลขอารบิกลาดเอียง ชวนให้นึกถึงการควบม้าอย่างสง่างาม ที่สำคัญบนหน้าปัดสีน้ำเงินเข้มชวนมองนี้ ยังบรรจุด้วยช่องหน้าต่างสำหรับแสดงข้างขึ้น-ข้างแรม ด้วยความสวยเด่นของรูปดวงจันทร์สีเงินที่เคลื่อนตัวผ่านท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว รายล้อมด้วยสเกลของหน้าปัดย่อยแสดงวันที่ พร้อมทั้งเข็มชี้สีเงิน ส่วนใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา บรรจุหน้าต่างสองช่องสำหรับแสดงวันและเดือนได้อย่างสมดุล โดยการแสดงทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนด้วยกลไกจักรกลอัตโนมัติ ที่เผยให้เห็นการทำงานของชิ้นส่วนประกอบอันซับซ้อนภายในผ่านทางฝาหลังกระจกแซฟไฟร์ อีกหนึ่งเรือนเวลามูนเฟสที่สวยคลาสสิกลงตัวนี้ มาพร้อมกับสายหนังจระเข้สีน้ำเงิน (สี Abyss) เข้ากับสีหน้าปัด
Vacheron Constantin Égérie Moon Phase Jewellery
เรือนนาฬิกานี้เป็นตัวแทนของการผสมผสานระหว่างศิลปะแห่งการประดิษฐ์นาฬิกาชั้นสูง โอต ออร์โลเชอรี (Haute Horlogerie) ภายใต้เรือนเวลาสุภาพสตรีคอลเลกชั่นใหม่ ที่มีชื่อว่า Égérie (แปลว่า Muse) ซึ่งนอกจากไฮไลต์ของความงดงามประณีตในทุกรายละเอียดของการออกแบบสร้างสรรค์ และงานฝีมือการตกแต่งแล้ว Égérie ยังนำเสนอด้วยความซับซ้อนทางจักรกล และความล้ำเลอค่าของอัญมณีมาไว้คู่กัน อย่างในรุ่นนี้ที่นับเป็นนาฬิการุ่นแรกที่จับคู่ด้วยการแสดงข้างขึ้น-ข้างแรม ไว้ในตัวเรือนไวท์โกลด์ 37 มม. และสายไวท์โกลด์ซึ่งประดับทั้งเรือนด้วยเพชรบริลเลียนต์คัต รับกับหน้าปัดปูพรมด้วยเพชรอีกกว่า 500 เม็ด รวมแล้วห่มเพชรไว้ทั้งหมดถึง 1,344 เม็ด และเพชรโรสคัตอีกหนึ่งเม็ดที่ประดับบนเม็ดมะยมแบบเยื้องศูนย์ตรงกับหน้าต่างแสดงข้างขึ้น-ข้างแรม ซึ่งบรรจุด้วยรูปดวงจันทร์ทำจากจากเปลือกหอยมุกท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และค่อยๆ เคลื่อนตัวอยู่ใต้ก้อนเมฆที่ทำจากคริสตัลแซฟไฟร์กึ่งโปร่งแสง ขณะที่บนหน้าปัดประกอบด้วยตัวเลขอารบิกแบบลายเขียนมือทำจากไวท์โกลด์ รวมถึงเข็มชั่วโมงและนาทีทรงใบไม้ที่ชวนให้นึกถึงปลายนิ้วที่ว่องไวของบรรดานักสร้างสรรค์แห่งโลกโอต์ กูตูร์ เรือนเวลานี้มีจำหน่ายเฉพาะในบูติกของ Vacheron Constantin
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF Jaeger-LeCoultre, Hermès, Vacheron Constantin
ART DIRECTOR: Perayut Limpanastitphon
สามารถอ่านคอนเทนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจเกี่ยวกับ นาฬิกา ได้ที่
