สาวก AP ก็ไม่พลาดกับเทรนด์สีเขียวเช่นกัน เมื่อ Royal Oak ได้จับคู่มากับหน้าปัดสีเขียวเข้มภายใต้เฉดที่เป็นแบบฉบับของ Audemars Piguet
จริงๆ แล้ว ที่มาของหน้าปัดสีสำหรับโอเดอมาร์ ปิเกต์ (Audemars Piguet) นั้นเริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 1970s ที่แบรนด์ได้เพิ่มสีสันเข้ามาบนหน้าปัดนาฬิกาของตนเองโดยการใช้อัญมณี ไม่ว่าจะเป็นโทนสีน้ำตาล สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งนั่นได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเจเนอเรชันใหม่ ที่ทั้งโดดเด่นและมีชีวิตชีวาในช่วงปี 1990s และนับแต่นั้นเป็นต้นมา Audemars Piguet จึงได้พัฒนาหน้าปัดที่ตกแต่งด้วยสีสันต่างๆ พร้อมทั้งเสริมด้วยเทคนิคการผลิต และงานฝีมือเฉพาะตามแบบฉบับของตนเองมาจนถึงปัจจุบัน
Royal Oak
ขณะที่คอลเลกชั่น Royal Oak นั้นถือเป็นหนึ่งในตระกูลนาฬิกาที่ได้รับความนิยมชื่นชอบมากที่สุดของแบรนด์ กับรูปทรงและงานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ และแทบจะสะท้อนถึงรายละเอียด และความประณีตพิถีพิถันในการออกแบบและรังสรรค์ได้ทุกชิ้นส่วนและทุกจุดของตัวเรือน เรื่อยไปจนถึงสายแบบโลหะ ไม่ว่าจะเป็นรหัสที่เป็นเอกลักษณ์ อย่างขอบตัวเรือนทรงแปดเหลี่ยมที่ตกแต่งด้วยสกรูรูปทรงแปดเหลี่ยมเดียวกันซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ของคอลเลกชั่น หน้าปัดตกแต่งด้วยงานแกะสลักกิโยเช่ลวดลายทาพิสเซอรี (Tapisserie) ที่ยากในการรังสรรค์และจำเป็นต้องใช้ซึ่งทักษะความเชี่ยวชาญเฉพาะในการประดิษฐ์ ตลอดจนสายโลหะแบบผสานเป็นหนึ่งเดียวกับตัวเรือน และงานฝีมือการตกแต่ง ทั้งงานขัดเงาและขัดซาตินอย่างพิถีพิถัน ที่ต่างช่วยเน้นย้ำให้เห็นถึงเส้นสายและรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งนั่นล้วนทำให้ชื่อของ Royal Oak เป็นที่รู้จักในด้านความเนี้ยบ ประณีต และเป็นไอคอนของนาฬิกาข้อมืออันทันสมัย โดยคอลเลกชั่นนี้ก็ยังคงวิวัฒนาการมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านรูปลักษณ์และฟังก์ชั่นจวบจนวันนี้
และล่าสุด Audemars Piguet ก็ได้เผยโฉมหน้าปัดสีเขียวไว้ภายในเหล่าโมเดลใหม่ของนาฬิกาข้อมือคอลเลกชั่นยอดนิยมตลอดกาล อย่าง Royal Oak ที่ความพิเศษนั้นอยู่ที่แต่ละรุ่นต่างมาพร้อมหน้าปัดในโทนสีเขียวและเทคนิคตกแต่งเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นความพิเศษสุดและล้ำค่าหายากของ Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ที่รังสรรค์ขึ้นด้วยแพลทินัม 950 และจับคู่เป็นครั้งแรกมากับหน้าปัดสีเขียวสโมคกรีน (smoked green) พร้อมทั้งผ่านเทคนิคการตกแต่งแบบซันเบิร์สต์ (Sunburst) รวมถึงความพิเศษยิ่งกว่าของรุ่น Limited Edition อย่าง Royal Oak Selfwinding Chronograph ซึ่งมีตัวเรือนทำจากเยลโลว์โกลด์ 18 กะรัต เข้ากันเป็นอย่างดีกับหน้าปัดสีเขียวแกะลายกิโยเช่ กรองด์ ทาพิสเซอรี (Grande Tapisserie) กับนาฬิกาหน้าปัดโทนสีเขียวใหม่อีก 3 เวอร์ชั่น ของ Royal Oak Selfwinding Flying Tourbillon ซึ่งมาพร้อมตัวเรือนผลิตจากวัสดุหลากหลายให้เลือก ไม่ว่าจะเป็นพิงค์โกลด์หรือไทเทเนียม ที่เข้ากับเฉดสีเขียวสุดโดดเด่นบนหน้าปัดได้อย่างลงตัว
ลองมาเจาะลึกถึงความพิเศษในนาฬิกาหน้าปัดเขียวแต่ละรุ่นนี้กันว่าจะมีความโดดเด่นและแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เริ่มจาก Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ซึ่งรุ่นนี้บรรจุในตัวเรือนขนาด 39.0 มิลลิเมตร ประกอบระหว่างตัวเรือนและสายนาฬิกาทำจากแพลทินัม 950 และโดดเด่นเข้ากับหน้าปัดสีเขียวสโมคกรีนลายซันเบิร์สต์ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของ Audemars Piguet ที่นำหน้าปัดนี้มาใช้ในคอลเลกชั่น 15202 และด้วยความหนาเพียง 8.1 มิลลิเมตรของตัวเรือนนี้ ก็ยิ่งตอกย้ำถึงความเพรียวบางของรุ่นสมดังชื่อ Extra-Thin ได้อย่างดี
Audemars Piguet – Jumbo
ขณะที่บนหน้าปัดสีเขียวของรุ่นสัญลักษณ์นี้ ยังคงบรรจุไว้ด้วยเครื่องหมายหลักชั่วโมงและเข็มชี้ที่รังสรรค์ขึ้นจากไวท์โกลด์ พร้อมทั้งเคลือบสารเรืองแสงที่ช่วยให้สามารถอ่านเวลาได้ง่ายขึ้นในที่มืดหรือแสงน้อย พร้อมทั้งโลโก้ Audemars Piguet ซึ่งจัดวางไว้ใต้ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และอักษรย่อ AP ที่วางไว้ ณ ตำแหน่ง 6 นาฬิกา ตามแบบฉบับของรุ่น “Jumbo” นั่นเอง ส่วนภายในขับเคลื่อนด้วยหัวใจสำคัญของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ Calibre 2121 ที่ประกอบเข้ากับ Oscillating Weight โรเตอร์ขึ้นลานทำจากทอง 22 กะรัต พร้อมทั้งฟังก์ชั่นแสดงชั่วโมง นาที และวันที่ นอกจากนี้ รุ่น Royal Oak “Jumbo” Extra-Thin ยังเป็นนาฬิการุ่นเอ็กซ์คลูซีฟที่จะมีวางจำหน่ายที่ เอพี เฮ้าส์ (AP Houses) ทั่วโลกเท่านั้น
ถัดมาคือรุ่นสปอร์ตหรูของ Royal Oak Selfwinding Chronograph ที่รุ่นนี้นำเสนอด้วยการจับคู่ระหว่างหน้าปัดสีเขียวเข้ากับตัวเรือนเยลโลโกลด์ โดยบนหน้าปัดตกแต่งด้วยลวดลายกรองด์ ทาพิสเซอรี เติมเสน่ห์ด้วยหน้าปัดย่อยลายก้นหอย ขณะที่ชื่อ Audemars Piguet บนหน้าปัดทำจากทอง 24 กะรัต และตกแต่งด้วยเทคนิคกัลวานิก รุ่นนี้มาพร้อมฝาหลังแบบทึบแกะสลักด้วยคำว่า “Limited Edition” ซึ่งมีทั้งหมดเพียง 125 เรือน ภายในตัวเรือน 41.0 มิลลิเมตร โดยเวอร์ชั่นนี้ของ Royal Oak ขับเคลื่อนด้วยกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ Calibre 2385 รวมถึงโรเตอร์ทอง 18 กะรัต และแสดงการจับเวลาโครโนกราฟอย่างแม่นยำ ร่วมกับการแสดงชั่วโมง นาที วินาที และวันที่ให้แบบครบเครื่อง จับคู่ลงตัวมากับสายเยลโลโกลด์ และตัวพับล็อกสาย AP นอกจากนี้ยังส่งมอบมากับสายเพิ่มเติมอีกสองเส้นคือสายหนังวัวสีเขียวและสายยางสีเขียว
ปิดท้ายด้วยความสลับซับซ้อนของ Royal Oak Selfwinding Flying Tourbillon ซึ่งสานต่อชื่อเสียงที่มีมาอย่างยาวนานของAudemars Piguet ในการสร้างสรรค์เรือนเวลาที่มีกลไกจักรกลซับซ้อน และคงต้นแบบของความพิถีพิถันและความประณีตในการนำเสนอ โดยรุ่นนี้มาพร้อม 3 เวอร์ชั่นให้เลือก และแต่ละเวอร์ชั่นยังคงเผยให้เห็นความสามารถและพรสวรรค์ของช่างฝีมือที่สร้างสรรค์นาฬิกาด้วยมือจนถึงรายละเอียดสุดท้าย ซึ่งแต่ละเรือนมาพร้อมตัวเรือนขนาด 41.0 มิลลิเมตร และออกแบบ พร้อมทั้งรังสรรค์หน้าปัดด้วยลวดลาย อีโวลูทีฟ ทาพิสเซอรี (Evolutive Tapisserie) สีเขียว ที่เข้ามาเสริมความสวยเด่นแปลกตาของนาฬิกา
ทุกโมเดลยังติดตั้งภายในไว้ด้วยการทำงานของกลไกจักรกลไขลานอัตโนมัติ Calibre 2950 ซึ่งถือเป็นกลไก Flying Tourbillon เจเนอเรชั่นล่าสุดของ Audemars Piguet ที่ต่างไปจากกลไกทูร์บิญองทั่วไป โดยมีการออกแบบให้มีพื้นที่ระหว่างสะพานจักรส่วนบนมากขึ้น เพื่อให้สามารถมองเห็นการทำงานของกลไกและชิ้นส่วนจักรกลซับซ้อนอื่นๆ ภายในได้อย่างชัดเจน สำหรับในเวอร์ชั่นแรกของรุ่นนี้มาพร้อมตัวเรือนและสายพิงค์โกลด์ 18 กะรัต จับคู่กับเครื่องหมายหลักบอกชั่วโมงและเข็มชี้ทำจากพิงค์โกลด์ ซึ่งผลิตขึ้นเป็นรุ่นเอ็กซ์คลูซีฟที่มีจำนวนจำกัดเพียง 10 เรือนเท่านั้น
ส่วนในเวอร์ชั่นที่สองเป็นรุ่นพิเศษมีจำนวนจำกัดเพียง 50 เรือน โดยนาฬิกาทั้งเรือนทำจากไทเทเนียม และรุ่นที่สามซึ่งผลิตขึ้นจำนวนจำกัดพิเศษเพียง 15 เรือนนั้น ออกแบบเป็นเรือนเวลาที่ผสมผสานระหว่างไทเทเนียมบนตัวเรือนเข้ากับขอบตัวเรือนทำจากไวท์โกลด์ 18 กะรัต พร้อมทั้งความโดดเด่นของการประดับมรกตเจียระไนทรงบาแก็ตต์ จำนวน 32 เม็ด น้ำหนักรวมประมาณ 2.41 กะรัต ที่นำมาประดับตกแต่งโดยช่างฝีมือทั้งหมด
นอกจากความเด่นของหน้าปัดสีเขียวแล้ว การเติมความหรูหราของเฉดสีเขียวสดจากมรกตถือเป็นความสวยงามลงตัว และช่วยย้ำความสวยเด่นของลวดลายทาพิสเซอรีบนหน้าปัดให้ดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ทั้งยังเพิ่มความน่าสนใจให้กับนาฬิกาข้อมือเรือนนี้เมื่อกระทบกับแสงและมอบมิติของแสงสะท้อนที่ไม่เหมือนใครซึ่งได้มาจากเทคนิคลวดลายทาพิสเซอรีนั่นเอง โดยตัวเรือนไทเทเนียมทั้งสองรุ่นนี้ยังบรรจุไว้ด้วยเครื่องหมายหลักบอกชั่วโมงและเข็มชี้ทำจากไวท์โกลด์พร้อมเคลือบสารเรืองแสง รวมถึงเสริมความเท่และลงตัวด้วยสายไทเทเนียม
Audemars Piguet นับเป็นแบรนด์นาฬิกาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ที่มีประวัติศาสตร์การสร้างสรรค์และประดิษฐ์นาฬิกาอันยาวนานกว่า 145 ปี จึงถือเป็นแบรนด์ผู้ผลิตเครื่องบอกเวลาชั้นสูงที่เก่าแก่ที่สุด ซึ่งยังคงดำเนินธุรกิจสืบทอดกันในครอบครัวผู้ก่อตั้งมาจวบจนปัจจุบัน คือตระกูล Audemars และตระกูล Piguet โดยนับตั้งแต่ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1875 Audemars Piguetยังคงผลิตเครื่องบอกเวลาของตนขึ้นที่เมืองเลอ บราซูส์ (Le Brassus) และสืบสานความเชี่ยวชาญและฝีมือการทำงานของช่างระดับชั้นครูจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมทั้งพัฒนาทักษะ รวมถึงเทคนิค และเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อขยายขอบเขตความชำนาญที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งเพิ่มขีดความสามารถที่นำไปสู่การก้าวข้ามขีดจำกัดที่เคยมีอย่างต่อเนื่อง Audemars Piguet ได้สร้างสรรค์เรือนเวลาหรูหราแห่งประวัติศาสตร์ขึ้นมากมาย และล้วนเผยให้เห็นถึงเอกลักษณ์ความเชี่ยวชาญ รวมถึงจิตวิญญาณอันก้าวหน้าอย่างไม่เคยหยุดนิ่งของตน
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF Audemars Piguet
VIDEO: Perayut Limpanastitphon
Music: https://mixkit.co
GRAPHIC DESIGNER: Vanicha Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ นาฬิกา อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่