20 ปีแห่งความคิดสร้างสรรค์จะเกิดอะไรขึ้น… ถ้า MB&F สร้างนาฬิกาสุดหรูในขนาด 38 มิลลิเมตร?
MB&F SP One (เอ็มบีแอนด์เอฟ เอสพี วัน) ซึ่งเดิมมีชื่อเรียกว่า “Three Circles” นาฬิกาที่โดดเด่นด้วยองค์ประกอบหลักสามส่วนแบบลอยตัว บาร์เรล บาลานซ์วีลและหน้าปัด ราวกับท้าทายแรงโน้มถ่วงบนข้อมือ กลไกทั้งสามเสมือนลอยอยู่ตรงกลาง สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านโดมแซฟไฟร์ใส บาลานซ์วีลหมุนราวกับเต้นรำกลางอากาศ ขณะที่หน้าปัดแบบเอียงเน้นให้เห็นถึงการออกแบบเฟืองทรงกรวยอันชาญฉลาดของ MB&F ดังนั้นนาฬิกา SP One เสมือนผลงานวิศวกรรมเชิงกลอันน่าทึ่ง ที่แสดงเวลาอันน่าหลงใหลไม่ยึดติดอยู่กับกฎของแรงโน้มถ่วง

SP One ตัวเรือนขนาด 38 มิลลิเมตร เปิดตัวสองรุ่น ได้แก่ รุ่นแพลตินัมมาพร้อมขอบหน้าปัดสีฟ้าสกายบลู และรุ่นโรสโกลด์มาพร้อมขอบหน้าปัดสีแอนทราไซต์ ที่มีรูปทรงวงกลม โค้งมนและเรียบเนียน ผสานดีไซน์ไร้ขอบตัวเรือน และตัวเชื่อมสายที่แยกออกจากกัน เป็นนาฬิกาที่เล็กและบางที่สุดของ MB&F สะท้อนสถาปัตยกรรมแบบสามมิติอันเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ รวมถึงจิตวิญญาณแห่งการท้าทายขอบเขตของการออกแบบอย่างชัดเจน SP One เป็นนาฬิกาที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความล้ำสมัยของคอลเลกชัน Horological Machines และความคลาสสิกของ Legacy Machines โดยเปิดตัวในฐานะนาฬิกาเรือนแรกในคอลเลกชัน“Special Projects”
เรื่องราวต้นกำเนิดของนาฬิการุ่นนี้ คือการลองทำสิ่งต่างๆ ที่เหนือความคาดหมาย โปรเจ็กต์พิเศษที่เต็มไปด้วยแนวคิดที่ถูกร่างไว้ตลอดหลายปี อาจดูไร้เหตุผลหรือไม่เป็นรูปเป็นร่าง กลับอัดแน่นด้วยจินตนาการอันท้าทาย ความคิดที่เฉียบแหลม แม้กระทั่งภาพร่างของสเก็ตบอร์ดและมีดโกน เปรียบเสมือนขุมทรัพย์แห่งความคิดสร้างสรรค์ ที่สะท้อนจิตวิญญาณของแนวคิดสุดพิเศษเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
โปรเจ็กต์นี้ตั้งชื่อเรียกอย่างเรียบง่ายว่า Special Project One (SP One) คือผลงานที่เลือกให้ถ่ายทอดแนวคิดออกมาอย่างชัดเจน สามวงกลมที่ดูคล้ายใบหน้ายิ้ม สะท้อนถึงการเดินทางที่ทั้งสนุกสนานและซับซ้อน แนวคิดนี้เกิดจากสามส่วนประกอบหลัก ได้แก่ บาร์เรล บาลานซ์วีลและหน้าปัด ที่แขวนอยู่ในตัวเรือนซึ่งลอยอยู่บนข้อมือ
โดยภาพสเก็ตช์ในช่วงแรก เน้นไปที่การออกแบบนาฬิกาที่สะท้อนความหรูหราแฝงไปด้วยความคลาสสิก เพื่อให้แตกต่างแต่คงรากฐานของแบรนด์ ซึ่งต่อมาได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมจาก Eric Giroud (เอริค ฌิรูด) นักออกแบบนาฬิกาและเป็นเพื่อนที่รู้จัก ผู้มีความสัมพันธ์ยาวนานกับ MB&F สู่การวางแผนโปรเจ็กต์ทั้งหมดด้วยความใส่ใจ ทุมเทและมุ่งมั่น


ในตอนแรกมีชื่อเรียกว่า “Three Circles” กลไกของ SP One ได้ถูกออกแบบโดยนำเสนอสามองค์ประกอบหลักของนาฬิกากลไก: บาร์เรล บาลานซ์วีลและหน้าปัด สามองค์ประกอบนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดที่เท่ากัน เพิ่มความซับซ้อนให้กับการออกแบบ ให้มีความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังลอยอยู่ในอากาศ คือสถาปัตยกรรมกลไกที่ออกแบบเพิ่มความโดดเด่นทางสายตาด้วยการยึดหลัก “น้อยแต่มาก” สะพานกลไกแทบจะไร้ร่องรอย ส่วนประกอบได้รับการซ่อนไว้ใต้องค์ประกอบหลัก เสริมมิติให้ความสง่างามของแต่ละส่วนโดดเด่นอย่างเต็มที่
แม้จะเต็มไปด้วยความซับซ้อนทางวิศวกรรม แต่รูปแบบนาฬิกาเรือนนี้กลับเผยให้เห็นโครงสร้างที่เรียบง่ายและมีเอกลักษณ์ ช่วยให้เข้าใจหลักการทำงานของนาฬิกากลไกได้เป็นอย่างดี สิ่งที่ล้อมรอบกลไกเรือนนี้ คือสิ่งที่ Maximilian Büsser (แมกซิมิเลียน บุสเซอร์) ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์ของ MB&F เรียกอย่างขี้เล่นว่า “อัฒจันทร์” ขอบหน้าปัดเจียระไนอย่างประณีต สะท้อนความยิ่งใหญ่ของโรงละครแบบกรีก-โรมัน ทำหน้าที่สะท้อนความงดงามอันซับซ้อนของกลไก จากการเอียงที่ได้สัดส่วน เผยความชำนาญของ MB&F ในการออกแบบเฟืองทรงกรวย

ฟังก์ชันแสดงเวลาแบบชั่วโมงและนาทีบนหน้าปัดเอียงในตำแหน่ง 6 นาฬิกา ขับเคลื่อนด้วยกลไกของ SP One พัฒนาขึ้นภายในฐานการผลิตของ MB&F โดยมีบาลานซ์วีลที่ออกแบบเฉพาะและพื้นหน้าปัดบอกเวลาแบบเอียง กลไกไขลาน เมนสปริงบาร์เรล เดินด้วยความถี่: 2.5 เฮิร์ต (18,000 ครั้งต่อชั่วโมง) ชิ้นส่วน 191 ชิ้น ทับทิม 31 เม็ด สำรองพลังงาน 72 ชั่วโมง กันน้ำได้ลึก 30 เมตร (100 ฟุต)

เพียงพลิกนาฬิกา SP One กลับด้านหลัง จะพบกับอีกมุมของอัฒจันทร์ในผลงานนี้ เผยการตกแต่งด้วยมืออันประณีต และความพิถีพิถันรายละเอียดทุกขั้นตอนที่เป็นเอกลักษณ์ของ MB&F และคงรักษาศิลปะการขัดแต่งด้วยมือแบบดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันมีเพียงไม่กี่แบรนด์ในอุตสาหกรรมนาฬิกาที่ยังสืบสานงานฝีมือชั้นสูง


กลิ่นอายความเป็น MB&F ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนใน SP One สะท้อนถึงสายสัมพันธ์อันดีของผลงานในตระกูลเดียวกัน ความท้าทายอยู่ที่การรักษาความประณีตและความสง่างามไว้อย่างสมดุล คงยึดมั่นในรูปแบบคลาสสิก ฟันเฟืองทุกชิ้นผ่านการขัดมุมด้วยมือ เสริมด้วยตลับลูกปืนชาตง (Chatons) ผิวสัมผัสของกลไกได้รับการขัดแต่งอย่างบรรจง ทั้งแบบซาติน ขัดเงาและไมโครบลาสต์ สร้างสมดุลแห่งพื้นผิวที่เปี่ยมด้วยงานศิลป์ที่ดูมีชั้นเชิงและลูกเล่นในทุกมิติ


นอกจากโครงสร้างกลไกที่แหวกแนวและการตกแต่งด้วยมือแบบดั้งเดิมแล้ว การออกแบบตัวเรือนทรงกลมมนดูโฉบเฉี่ยวคล้ายยานอวกาศและไร้ขอบตัวเรือน ติดตั้งกระจกแซฟไฟร์ผสานอย่างไร้รอยต่อระหว่างด้านหน้าและหลัง ออกแบบตัวเชื่อมสายจากตัวเรือนด้านล่าง สร้างช่องว่างที่ชัดเจนระหว่างตัวเชื่อมสายที่ขัดเงาด้วยมือและส่วนบนของตัวเรือน ประดับคู่สายหนังลูกวัว ติดตั้งตัวล็อคสายแบบหัวเข็มขัด โดยหมุดทำจากไวท์โกลด์หรือโรสโกลด์


SP One เป็นนาฬิกาที่บางที่สุดของ MB&F สะท้อนถึงการสร้างความสมดุลที่ลงตัวในด้านการออกแบบและสัดส่วน โดยให้ความสำคัญกับความสวยงามและศิลปะเหนือความบาง คำว่า “สมดุล” สะท้อนถึงแก่นแท้ของโปรเจกต์พิเศษนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ที่ทลายกรอบเดิมๆ โดยคงรักษาเอกลักษณ์ของแบรนด์และการนำเสนองานฝีมือแบบดั้งเดิม สู่เส้นทางที่แตกต่าง
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF MB&F