การเดินทางครั้งพิเศษของเครื่องประดับชั้นสูงแบรนด์ คาร์เทียร์ ณ ภูเก็ต ประเทศไทย
Cartier (คาร์เทียร์) เชิญแขกคนสำคัญร่วมเดินทางสู่ไข่มุกแห่งทะเลอันดามัน ที่ธรรมชาติคงอุดมสมบูรณ์และรุ่มรวยด้วยวัฒนธรรม ด้วยแรงบันดาลใจจากการเดินทางของสามพี่น้องตระกูลคาร์เทียร์ ส่งมอบความวิจิตรไปทั่วทุกมุมโลกผสานกลิ่นอายวัฒนธรรมอันแตกต่างของแต่ละท้องที่เข้าสู่การดีไซน์รังสรรค์
คาร์เทียร์นำเสนองานไฮจิวเวลรี ที่รวมเอาชิ้นงานเครื่องประดับชั้นสูงกว่า 200 ชิ้น สะท้อนความชำนาญของช่างฝีมือเอกลักษณ์ของเมซง ท่ามกลางฉากความงดงามท้องถิ่นของภูเก็ต โดยนิทรรศการในครั้งนี้ จัดขึ้นภายในไพรเวทเรสซิเดนซ์ริมผาที่โอบล้อมด้วยทิวทัศน์ของทะเลอันดามันรอบด้าน 180 องศา ซึ่งพื้นที่จัดแสดงชิ้นงาน แบ่งออกเป็น 4 บท (4 ห้อง) เผยไฮจิวเวลรี ผ่านศิลปะท้องถิ่น วัสดุและงานหัตถศิลป์ สะท้อนความสำคัญของพื้นที่จัดงาน เคยเป็นศูนย์กลางการทำเหมืองแร่ในศตวรรษที่ 19 ชิ้นงานเครื่องประดับชั้นสูง แสดงถึงจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของคาร์เทียร์อย่างเด่นชัดผ่านการเลือกใช้แสง การเคลื่อนไหว สีสันและรูปทรงที่หลากหลาย
ห้อง “Carved Wood” จากงานแกะสลักไม้ที่มีมาตั้งแต่ไทยโบราณ สู่การตีความในการเลือกใช้ไม้เฉดสีเข้มกับงานจักสาน สร้างฉากหลัง เผยความโดดเด่นให้ชิ้นงานไฮจิวเวลรี นำเสนอชิ้นงานที่ได้แรงบันดาลใจจากพืชพรรณและสัตว์นานาชนิด เช่น เซ็ตสร้อยคอ Croco ที่โดดเด่นเป็นไฮไลท์ด้วยเพชรน้ำงามตัดกับมรกต Les Oiseaux Libérés สร้อยคอนกแก้วทำจากเพชร ประดับมรกตหยดน้ำ 5 เม็ด ซึ่งมีส่วนจงอยปากที่รังสรรค์จากไข่มุก mother-of-pearl เป็นห้องที่รวบรวมชิ้นงานสุดตระการตาจากคอลเลกชัน Panthère de Cartier และคอลเลกชัน Cactus de Cartier ไว้หลากชิ้น
ห้อง “Ceramics” วัสดุที่เหล่าพ่อค้าจากจีนนำเข้ามาสู่ภูเก็ตในสมัยยุคเหมืองแร่ คือเซรามิกสีเขียวถูกร้อยเรียงในรูปทรงเรขาคณิตอย่างประณีต สร้างความโดดเด่นให้กับชิ้นงานไฮจิวเวลรีที่จัดแสดง ได้แก่ แหวน Tichodroma โดดเด่นด้วยรูเบลไลท์ (ทัวร์มาลีนสีแดง) ทรงหลังเบี้ยที่งดงามขนาด 10.06 กะรัต จากคอลเลกชัน Panthère de Cartier ซึ่งรวมถึงสร้อยคอ Pompon สร้อยคอ Panthère des Neiges สร้อยคอ Ti Panthère และเรือนเวลา Tiny Tiger (เรือนเวลาจากคอลเลกชันเครื่องประดับชั้นสูง) รวมทั้งกำไลหลากดีไซน์จากคอลเลกชัน Indomptables de Cartier ที่นำสัตว์ป่านานาพันธุ์ของคาร์เทียร์มาสร้างสรรค์รวมกัน
ห้อง “Silk” เผยความพลิ้วไหวของผ้าไหมไทย แพทเทิร์นการทอที่ซับซ้อนละเอียดอ่อน เผยโฉมความงามของเครื่องประดับคาร์เทียร์ให้เด่นชัด ตั้งแต่สร้อยคอและต่างหู Grattacielo หนึ่งในชิ้นสำคัญของคอลเลกชันทั้งหมดที่จัดแสดงในครั้งนี้ ด้วยจี้เพชรบริสุทธิ์ Type IIa (พบได้เพียง 1% ของเพชรทั้งหมดในโลก)
เซ็ตสร้อยคอและต่างหู Intrico สื่อความหมายถึงความผูกพัน ด้วยดีไซน์ที่ถักทออย่างแนบชิด เซ็ตสร้อยคอ แหวนและต่างหู Voltea ที่หมายถึงแรงดันไฟฟ้า มอบอารมณ์ความรู้สึกที่มีพลัง สร้อยคอ 1895 และชุดเซ็ต Unda ที่ประกอบไปด้วยสร้อยคำ กำไลและต่างหู ล้วนให้ความรู้สึกเรียบหรูอันพลิ้วไหวดุจเส้นไหม
ห้อง “Wrought Iron” มอบอารมณ์ที่แตกต่างด้วยตู้กระจกแก้ว ครอบด้วยโครงสร้างเหล็กดัดสีทอง เสริมความสง่าเซ็ตสร้อยคอและต่างหู Miroitement เครื่องประดับชั้นสูงที่เปรียบเสมือน crown jewels ของนิทรรศการนี้ จัดแสดงอยู่ใจกลางของห้อง โดดเด่นด้วยเพชรสีน้ำเงินที่หายากล้อมด้วยเพชรบริสุทธิ์ D Flawless สร้อยคอนี้สามารถ transformable ใส่ได้หลากหลายแบบ ทั้งมี Coussin de Cartier กำไลเพชรรูปทรงคล้ายหมอน (คุชชัน) จบท้ายโชว์เคสด้วย Fine Jewelry Watch & Fine Watchmaking (เรือนเวลาจิวเวลรีประณีตศิลป์และเรือนเวลาประณีตศิลป์) อย่าง Santos de Cartier Skeleton และ Pasha de Cartier Skeleton
ผลงานชิ้นสำคัญในโชว์เคสเครื่องประดับไฮจิวเวลรี
Miroitement (สร้อยคอและแหวน)
สร้อยคอแสนวิจิตร โดดเด่นด้วยเพชรสีน้ำเงินหายาก ขนาด 2.07 กะรัต เจียระไนทรงข้าวหลามตัด ล้อมด้วยเพชรบริสุทธิ์ D IF ที่บรรจงคัด ดุจเงาสะท้อน จากการจัดองค์ประกอบที่เพิ่มการเล่นกับแสงแล้ว ขับเน้นความโดดเด่นขึ้นด้วยจี้เพชรทรงหยดน้ำขนาด 8.45 กะรัต
แหวนวงงามเข้าชุดกับสร้อยคอ ได้แรงบันดาลใจมาจากเงาสะท้อนอันซับซ้อนในห้องกระจก (Hall of Mirrors) จับคู่รูปทรงคลาสสิกกับดีไซน์ร่วมสมัย สร้างเสน่ห์เหนือกาลเวลาให้กับผลงานชิ้นนี้ หัวแหวนรูปหกเหลี่ยมประดับเพชรแฟนซีสีน้ำเงินที่หายาก เจียระไนทรงหยดน้ำขนาด 1.18 กะรัต ทอประกายแวววาว ประดับด้วยเพชรหลากรูปทรง
Grattacielo (สร้อยคอและต่างหู)
เพชรและมรกตในดีไซน์เรขาคณิตเปี่ยมพลัง ชวนให้นึกถึงงานสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น หัวใจหลักของการดีไซน์ คือมรกตเม็ดงามจากโคลอมเบียขนาด 2.67 กะรัต เจียระไนทรงเหลี่ยมขั้นบันได (step-cut) ผสานจี้เพชรน้ำงาม D IF Type IIa ขนาด 18.88 กะรัต ความบริสุทธิ์ ซึ่งพบได้เพียง 1% ของเพชรทั้งหมดในโลก อัญมณีแต่ละเม็ดจัดวางอย่างลงตัวบนโครงสร้างที่โดดเด่นด้วยเส้นสายสะอาดตา สะท้อนความเป็นคาร์เทียร์
นอกจากนี้สร้อยคอ Grattacielo สามารถดัดแปลงให้สวมใส่ได้หลายแบบ ตามการรังสรรค์จิวเวลรีที่แปลงโฉมได้ของเมซง โดยตัวสร้อยสามารถแยกสวมเป็น 2 เส้น ส่วนจี้สามารถถอดไปประดับบนแหวนที่ออกแบบมาให้เข้าชุดกัน แปรเปลี่ยนจากจี้เป็นหัวแหวนเม็ดกลางได้ทันที ดีไซน์ของต่างหูที่เรียงตัวในแนวดิ่งเป็นลวดลายในโทนสีเขียวสดสลับกับสีขาวส่องประกายเพ่งพิศ
Tichodroma (นาฬิกาซ่อนหน้าปัดและแหวน)
ดีไซน์ของกำไลโดดเด่นด้วยรูเบลไลต์เจียระไนทรงเบี้ย (ทรงคาโบชง) 3 เม็ด โดยเม็ดใหญ่สามารถเปิดขึ้นจะเห็นหน้าปัดนาฬิกาที่อยู่ข้างใต้ โครงสร้างของกำไลช่วยขับเน้นรูปทรงกลมมนของพลอย สะท้อนแรงบันดาลใจจากองค์ประกอบในธีมธรรมชาติ เช่น งานฉลุลวดลายเรขาคณิต ชวนให้นึกถึงปีกนกที่สยายออกอย่างอ่อนช้อย
แหวนที่ออกแบบให้เข้าชุดกัน ฝังรูเบลไลต์ทรงคาโบชงเม็ดงามขนาด 10.06 กะรัต ดีไซน์รูปปีกนกของแหวนดูมีมิติสมจริงด้วยการคัดเลือกโทนสีของอัญมณีอย่างลงตัว แต่งแต้มด้วยคาลเซโดนีเพื่อสร้างความรู้สึกนุ่มละมุนดุจขนนก หรือออนิกซ์รูปทรงเรขาคณิตสีดำขลับเพิ่มความลึกและมิติให้กับชิ้นงาน
นอกจากนี้ คาร์เทียร์เนรมิตวิลล่า นาคา ให้เป็นพื้นที่ส่วนตัว ต้อนรับแขกคนสำคัญ Heart Evangelista (ฮาร์ต เอวังเกลิสตา) เซเลบริตี้ชื่อดังชาวฟิลิปปินส์ และ พีพี กฤษฏ์ นักแสดงไทย ประเดิมค่ำคืนด้วยการแสดงรำโนราห์สุดคลาสสิกของภาคใต้ ที่ได้ตีความให้ร่วมสมัย โดย พิเชษฐ์ กลั่นชื่น ต่อด้วยการเดินแบบเครื่องประดับชั้นสูงที่เป็นไฮไลท์ของการจัดแสดงครั้งนี้ เรียกได้ว่าสะกดทุกสายตาของผู้ร่วมงาน
ก่อนที่จะเปลี่ยนค่ำคืนให้กลายเป็น Shimmering Andaman ตามธีมของดินเนอร์ ด้วยการแสดงโดรนที่เก็บเอาทุกอัตลักษณ์ของคาร์เทียร์มารวมไว้และการแสดงพลุยามค่ำคืนส่องประกายระยิบระยับ พิเศษสุดคือการโคจรมาพบกันในการแสดงมินิคอนเสิร์ตของคาร์เทียร์แอมบาสเดอร์ประเทศไทย เจฟ ซาเตอร์ และศิลปินมากความสามารถ เดอะทอยส์ มาช่วยสร้างความสนุกสนานให้เป็นอีกค่ำคืนที่สมบูรณ์แบบ
CREDITS:
PHOTOS: COURTESY OF CARTIER
สามารถติดตามคอนเทนต์อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่