Jai Sachdev (เจ สัจจะเทพ) สุภาพบุรุษอารมณ์ดี หุ้นส่วนโรงงานผ้าที่อังกฤษ อายุอานามในวัยยี่สิบปลาย แต่ความคิดและคำพูดเสมือนนักธุรกิจ ผู้มีประสบการณ์มากมายในเรื่องของสูทแห่งความสำเร็จ
สูทแห่งความสำเร็จกับ Jai Sachdev เจมีเชื้อสายอินเดีย เกิดที่เมืองไทย พูดไทยและภาษาอังกฤษได้คล่องแคล่ว สืบทอดและต่อยอดธุรกิจนำส่งผ้าตัดสูทคุณภาพ ให้แก่ร้านตัดสูทชั้นนำที่คัดสรรแล้วว่ามีสไตล์เป็นที่นิยมของสุภาพบุรุษสมัยใหม่ ผู้ต้องการสูทที่เหมาะกับรูปร่างของตนจริงๆ มีกำลังการซื้อแบรนด์ แต่ต้องการสูทที่มีเนื้อผ้าสีสันที่ตนเองเลือกและไม่เหมือนใคร เจผู้มีรอยยิ้มและความสนุกสนานเป็นกันเองนั้น เป็นเจ้าของโรงงานทอผ้าที่มีระดับโลก ที่ขึ้นชื่อเรื่องการตัดสูทประเทศอังกฤษและอิตาลี วันนี้ Padthai.co ได้มีโอกาสพูดคุยถึงรายละเอียดของธุรกิจการตัดเย็บสูทสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี
หนุ่มเจผู้สืบทอดและต่อยอดธุรกิจนำส่งผ้าให้กับร้านสูททั่วประเทศ เป็นลูกหลานรุ่นที่สี่ของครอบครัว จากที่ขายผ้าเน้นราคาไม่แพงมาตั้งแต่แรกเริ่ม เจ้าของร้านสูทส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยนิยมผ้าคุณภาพที่มีราคาสูง นึกถึงภาพที่คนสมัยนี้อาจไม่เคยเห็นคือ การแบกกระเป๋าที่เต็มไปด้วยตัวอย่างผ้า แวะเวียนไปแต่ละร้าน หากโชคดีได้พบเจ้าของร้านที่สามารถตัดสินใจได้ ก็จะมีออร์เดอร์สั่งซื้อทันทีเลย
สำหรับหนุ่มเจ จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) วิสัยทัศน์ของการนำเสนอผ้าคุณภาพต้องมีการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่เขาทำงานในสไตล์ดั้งเดิมของครอบครัวมาอยู่พักใหญ่ ทั้งการที่เขาได้เดินทางเปิดหูเปิดตา การติดต่อธุรกิจและทั้งการท่องเที่ยวไปโลกกว้าง เขาฉุกคิดได้ว่า ทำไมเขาไม่ออกไปขายต่างประเทศบ้าง เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็จัดการเดินทางไปประเทศใกล้เคียงอย่างเวียดนาม เพื่อติดต่อพูดคุยกับร้านผ้า ทำให้เจสามารถขยายฐานลูกค้าในด้านธุรกิจส่งออกผ้า อันเป็นก้าวใหม่ที่ท้าทายสำหรับธุรกิจครอบครัวของเขา
หลังจากประสบความสำเร็จกับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง จุดหมายการเดินครั้งต่อไปที่ยุโรป ก็ท้าทายเร้าใจหนุ่มเจคนนี้ขึ้นมาทันที เมื่อเดินทางมาถึงประเทศอังกฤษ การใช้กลยุทธ์แบบเอเชียก็ไม่ง่าย เพราะพบแต่พนักงาน ไม่ได้พบเจ้าของผู้ตัดสินใจได้ เมื่อวนเวียนอยู่ที่นั่นหลายสัปดาห์ แต่ขายผ้าไม่ได้เลยสักชิ้น เจเริ่มถามตนเองว่า ‘เอาอย่างไรดี ขายของเราไม่ได้ ก็ลองนำของเขามาขายในเมืองไทย และบ้านใกล้เรือนเคียงน่าจะดีกว่า”
สูทแห่งความสำเร็จกับ Jai Sachdev
จากความคิดที่จะส่งออกกลายเป็นการนำเข้าผ้าคุณภาพที่เมืองไทยยังไม่มี เป็นความคิดที่เข้าท่าเข้าทางมากกว่า เขาได้ทำการติดต่อแบรนด์ผ้าที่มีชื่อเสียงอย่าง ฮัดเดอร์สฟิลด์ เท็กซ์ไทล์ (Huddersfield Textiles) โรงงานทอผ้าคุณภาพอายุกว่า 150 ปี จากประเทศอังกฤษ ฮัดเดอร์สฟิลด์เป็นโรงงานระดับตำนานทั้งในเรื่องของคุณภาพการผลิตผ้าและเครื่องนุ่งห่มที่ดีที่สุดในโลก เพราะตั้งอยู่ในชัยภูมิที่มีแม่น้ำสองสายมาบรรจบกันที่เมือง West Yorkshire ของฮัดเดอร์สฟิลด์ มีน้ำที่อ่อนที่สุดในโลก จึงสามารถล้างทำความสะอาดวัตถุดิบอย่างขนสัตว์ และคงคุณสมบัติความนุ่มนวลไว้ได้อย่างครบถ้วน กอปรกับแบรนด์เองในขณะนั้น ก็อยากเปิดตลาดในประเทศไทย ทุกอย่างจึงราบรื่นเป็นไปตามที่เจคาดหวัง อย่างไรก็ตามแม้ด้วยคุณภาพผ้าที่เยี่ยมยอด ตามด้วยราคาที่สูง ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หนุ่มเจหวั่นใจอยู่ไม่น้อย ข้อกังวลก็คือ ผ้าราคาสูงสำหรับสูท และสุภาพบุรุษไทยจะยอมซื้อกันไหม แต่เขาก็แอบมั่นใจว่าผ้าคุณภาพ ใครๆ ก็ต้องอยากได้ คนที่จะตอบได้อย่างดีคือช่างสูท ผู้นำเสนอความคิดเห็นมายังเจ้าของร้านสูทว่า เนื้อผ้าดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เพราะตัดออกมาได้สวยสมใจ เมื่อช่างตัดมั่นใจ ทางหน้าร้านก็กล้ารับรองกับลูกค้า กล้าแนะนำให้ใช้ผ้าดีๆ จากแบรนด์ฮัดเดอร์สฟิลด์มากขึ้นตามลำดับ
ด้วยสัมพันธภาพอันดีระหว่างเจกับเจ้าของแบรนด์ฮัดเดอร์สฟิลด์ เจไม่เพียงแต่จะเป็นตัวแทนขายผ้าให้แบรนด์ฮัดเดอร์สฟิลด์เท่านั้น เจ้าของแบรนด์ยังยกหุ้นโรงงานทอผ้าให้ 50 เปอร์เซนต์ ดังนั้น เจจึงสามารถพูดได้ว่า เป็นหุ้นส่วนเจ้าของโรงงานทอผ้าที่ดีที่สุดในอังกฤษได้อย่างภาคภูมิ โดยเขาทำหน้าที่เป็น Chief Operating Officer (COO) ดูแลทั้งในเรื่องการจัดการ (Operation) การขยายงาน (Infrastructure) และช่องทางการจัดจำหน่าย (Channel of Distribution) อีกด้วย
จากวงการผ้าอังกฤษ เจขยายฐานไปยังประเทศอิตาลี เจ้าแห่งแฟชั่นเสื้อผ้าผู้ชายชั้นแนวหน้าของโลก เขาได้เป็นตัวแทนจำหน่ายผ้าชั้นนำจากโรงงานที่เมืองเนเปิลส์ ผ้าสูทชั้นดีจากคัชช็อปโปลี (Caccioppoli) และผ้าตัดเสื้อเชิ้ตชั้นเลิศคันคลีนี (Canclini) จากเมืองโคโม (คุณคงเคยได้ยินชื่อเมืองตากอากาศบริเวณทะเลสาบโคโม) แหล่งที่ดาราฮอลลีวูดอย่าง จอร์จ คลูนีย์ (George Clooney) มีคฤหาสน์พำนักพักพิงอยู่ที่นี่
จากโลกเสื้อผ้าสง่าเรียบขรึมสไตล์อังกฤษ กับความมีสีสันลวดลายที่กล้าแสดงออกจากประเทศอิตาลี แสดงความหล่อเหลาแบบสนุกสนาน เจเปรียบผ้าได้กับโลกแห่งยานยนต์ วันหนึ่งคุณอยากสง่าสุขุมเป็นนักธุรกิจผู้น่าเชื่อถือ สวมเสื้อผ้าสูทอย่างดีสไตล์อังกฤษ ขับรถสไตล์คลาสสิก และในวันที่ออกงานเปี่ยมพร้อมด้วยความเท่สนุกสนานเชิงแฟชั่น ขับรถสปอร์ตแบรนด์หรู สวมสูทสไตล์ผ้าสีสันๆ และรูปแบบสไตล์อิตาเลียนก็เป็นอีกหนึ่งในทางเลือก
ในแต่ละปีที่มีการจัดงานเทรดแฟร์เสื้อผ้าสุภาพบุรุษ ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคือ พิทที่ อูโอโม่ (Pitti Uomo) จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง ที่เมืองฟลอเรนซ์ คุณจะพบ Jai Sachdev ได้ที่นี่ กับแวดวงของคนวงใน เจได้เริ่มเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้แก่ช่างสูทเมืองไทย ร้านสูทรู้จักเลือกรูปแบบเสื้อผ้า เนื้อผ้าที่เหมาะสมกับรูปร่าง สีผิว และรสนิยม ช่างสูทเมืองไทยหลายร้านที่มีฝีมือประณีตบรรจง อีกทั้งห้องเสื้อที่มีดีไซเนอร์ที่มีสไตล์เป็นเจ้าของ ผู้สามารถช่วยแนะนำและดูแลเสื้อผ้าให้เข้ากับบุคลิกของสุภาพบุรุษแต่ละท่าน
มีความคิดเก็นอย่างไรกับคำพูดที่ว่า Clothes make the Man?
ภาพลักษณ์แรกมันสำคัญนะครับ คนตัดสินคุณจากวินาทีแรกที่พบเห็น ทำไมเราจึงต้องแต่งตัวดีๆ ไปสัมภาษณ์งาน เพราะมันเป็นด่านแรกที่คนเขามองคุณ และตัดสินคุณ คุณได้แสดงตัวตนจากเสื้อผ้าที่สวมใส่ การแต่งกายดีช่วยให้คนมองคุณในแง่ดี มีส่วนช่วยส่งเสริมความสำเร็จของคุณ
อยากให้คุณเจบอกความแตกต่างระหว่างสูทที่เรียกว่า Bespoke กับ สูท Made to Measure
พูดถึง Made to measure (เมด ทู เมเชอร์) ก่อนน่ะครับ คือการวัดตัวผู้ตัด แล้วนำแพทเทิร์นที่มีอยู่ตามขนาดมาตรฐาน มาปรับแต่งให้เข้ากับขนาดตัวของผู้สั่ง ส่วน tailor-made มีความใกล้เคียงกับ made to measure ครับ คือการออกแบบพิเศษให้กับบุคคลผู้นั้น สำหรับ Bespoke (บีสโป้ค) คือสูทที่ “been spoken for” เป็นสูทสำหรับบุคลิกและลักษณะของบุคคลผู้นั้นเลย มีการวัดรูปร่างอย่างละเอียด ผู้วัดและผู้ตัดจะต้องมีความชำนาญ สามารถสังเกตและเก็บรายละเอียดสรีระ และบุคลิกการยืน การเดินของผู้สวมใส่ หากใบหน้าซีกซ้ายและซีกขวาไม่เท่ากัน ร่างกายของคนเราก็เช่นกันครับ ไหล่ซ้ายขวาอาจตั้งหรือลาดไม่เท่ากัน ลักษณะการยืน การเดินอีกด้วย ช่างสูทจะสร้างแพทเทิร์นขึ้นมาใหม่สำหรับบุคคลนั้นๆ โดยเฉพาะ แล้วมาทำฟิตติ้งอีกหลายต่อหลายครั้งจนเหมาะเจาะและดูดีกับรูปร่างจริงๆ อีกทั้งความชำนาญของช่าง ในการตัดและเย็บก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง บางส่วนต้องเย็บด้วยมือเพื่อความเนียนและแน่นหนา ต้องใส่ใจในรายละเอียดมากมาย
แล้วที่พูดถึงพวก Sartorial หมายความถึงอะไรคะ?
ซาร์ทอเรียล หมายถึงผู้ที่เน้นรายละเอียด ใส่ใจเรื่องเสื้อผ้าของตนเองที่เนี้ยบ ทันสมัย ตามกระแสแฟชั่น คำว่า Sartorial มาจากภาษาลาตินหมายถึง tailor หมายถึงผู้ที่สามารถถอดบุคลิกและไลฟ์สไตล์ แสดงออกด้วยลักษณะของเสื้อผ้า ที่เลือกสวมใส่ไม่ว่าจะเป็นชิ้นคลาสสิก เหนือกาลเวลา คุณสมบัติของเนื้อผ้าและการตัดเย็บอย่างประณีตละเอียดลออ
คุณเจ มีความเห็นเกี่ยวกับพวก Fast Fashion อย่างไรบ้าง?
ตามสถิติที่ผมอ่านมา พวกแบรนด์ที่มีชื่อ จะมีคอลเลกชันอย่างเก่ง 2-4 ครั้งต่อปี พวกฟาสต์แฟชั่นมีถึง 52 คอลเลกชั่นต่อปี เรียกว่าแทบจะเป็น สัปดาห์ละหนึ่งคอลเลกชั่นเลยทีเดียว มันมากมายแทบจะซื้อมาใส่กันเพียงไม่กี่ครั้งแล้วทิ้ง ยิ่งพวกผู้หญิง 1 ใน 3 ซื้อชุดมาใส่เพียงแค่ครั้งสองครั้ง หนึ่งในเจ็ดคิดว่าถ่ายรูปขึ้นโชว์ห้ามใส่เสื้อซ้ำครั้งที่สองเสียด้วยซ้ำ! ส่วนคนธรรมดาทั่วไปก็แค่สวมใส่ 7-8 ครั้ง ก็เก็บเข้าตู้หรือโยนทิ้ง มันก็น่าเสียดายอยู่นะครับ ผมว่า สู้เลือกชิ้นดีๆ เนื้อผ้าดี มีน้อยชิ้น แต่สามารถใส่สลับปรับเปลี่ยน แบบที่เรียกว่า มิกซ์แอนด์แมตช์ จะเข้าท่ากว่าน่ะครับ เช่น มีเสื้อเชิ้ตลินินดีๆ สีที่ใช้สวมกันได้ทุกวันที่ไม่ว่าจะเป็นสีขาว สีครีม สีฟ้า กางเกงขายาวสีกากี สูทที่สามารถไปทำงานทำการ ประชุม จนไปงานแต่งงานของเพื่อนเราได้อย่างภาคภูมิ นาฬิกาสำหรับงานกลางคืน และนาฬิกาแบบสปอร์ตสำหรับวันหยุด แว่นตาคุณภาพ รองเท้าที่เข้ากับสูท รองเท้าบูทส์ แจ็กเก็ตหนังแบบเรียบเท่สำหรับวันพักผ่อน…
อย่างไรก็ตาม ความเป็นสุภาพบุรุษในวันนี้ เจไม่ได้หมายถึงการสวมใส่เสื้อผ้าราคาแพงหูฉี่ แต่จากการเป็นผู้เลือกของใช้ที่เหมาะสมกับบุคลิคตนเอง รวมทั้งความสง่างามทางด้านความคิดและจิตใจด้วย จึงจะเรียกได้ว่าเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง
CREDIT:
PHOTOGRAPHER: Mas Kiatsermsakul
VIDEOGRAPHER: Amarin Cholvibul
ART DIRECTOR: Perayut Limpanastitphon
สามารถติดตามคอนเทนต์ อื่นๆ ที่น่าสนใจได้ ที่นี่